“ประชัย”ปลื้ม! นักลงทุนเฮขานรับ “หุ้นกู้ TPIPL” หลังแนวโน้มกำไรดีขึ้น

“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” ประธาน ทีพีไอฯ ปลื้ม นักลงทุนตอบรับหุ้นกู้ TPIPL เห็นแนวโน้มกำไรดีขึ้นจากธุรกิจปูนซีเมนต์ หลังทริสเรทติ้งจัดอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+

วันที่ 16 พ.ย.2565 นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL ผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมทั้งผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศ ธุรกิจโพลีเมอร์ชนิดพิเศษ (Specialty Polymer) ธุรกิจคอนกรีตผสมเสร็จ และธุรกิจโรงไฟฟ้า (ผ่านบริษัทย่อย) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวนรวม 3 ชุดประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.25% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 4 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.32% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ในระหว่างวันที่ 9-11 และ 14 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมานั้น ปรากฏว่า หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี ทำให้สามารถปิดการขายตามเป้าหมายที่วางไว้

“ปัจจัยที่ทำให้การเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนนั้น เชื่อว่า นอกจากผลตอบแทนที่น่าพอใจ ภายใต้ระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสมแล้ว การที่หุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือใน “กลุ่มระดับลงทุน” จากทริสเรทติ้ง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจโอกาสและศักยภาพในการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต” นายประชัย กล่าว

ทั้งนี้ หุ้นกู้ชุดดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “BBB+” ซึ่งเป็นกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) แนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2565 โดยทริสเรทติ้ง ระบุว่า แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปลี่ยนธุรกิจโพลีเมอร์ (Polymer) ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและอัตรากำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจปูนซีเมนต์ ซึ่งอัตรากำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้นสูงนั้น เป็นผลมาจากการปรับปรุงเครื่องจักรและคุณภาพของผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างเพื่อเป็นการลดคาร์บอนไดออกไซด์และลดต้นทุน จากการทดแทนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินด้วยขยะชุมชนที่บริษัทดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งบริษัทฯ ยังจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะทำให้ มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2565ต่อเนื่องไปถึงปี 2566 ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนและของโลกพัฒนา