เหตุการณ์การกราดยิงอย่างเหี้ยมโหดในเมืองชีราซ ประเทศอิหร่าน เมื่อวันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา สร้างความเจ็บปวดและเศร้าสลดเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้ก่อการร้าย เริ่มด้วยการเปิดฉากยิง โดยไม่เลือกเป้าหมาย แม้กระทั่งเด็กเล็ก และ สตรี โดยมีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า15 คนและบาดเจ็บเกือบร้อยคนเลยทีเดียว ทำให้หลายประเทศทั่วโลกออกมาประณามการก่อการร้ายในครั้งนี้และแสดงความเสียใจต่อชาวอิหร่านญาติผู้สูญเสียชีวิต
ต่อมากลุ่มก่อการร้ายไอเอสได้ออกมาเครมว่า เป็นการกระทำของกลุ่มของตน ยิ่งทำให้คนสนใจมากขึ้นทีเดียว เพราะว่ากลุ่มไอเอส ดูเหมือนว่าหมดกำลังและแผ่วลงไม่มีน้ำยาอะไรอีกแล้ว โดยสำนักข่าวอามัก (Amaq) สื่อของกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ออกมาเปิดเผยว่า สมาชิกของไอเอส เป็นผู้ก่อเหตุโจมตีครั้งนี้ โดยมุ่งเป้าเล่นงานกลุ่มผู้ทรยศเปลี่ยนศาสนา ซึ่งในที่นี้ หมายถึง ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ ในอิหร่าน และ กลุ่มไอเอสยังกล่าวอีกว่า เราขอแสดงการอยู่เคียงข้างผู้ประท้วงในอิหร่าน
การก่อการร้ายในเมืองชีราซได้เกิดขึ้นห้วงเวลาที่มีการประท้วงในอิหร่าน ยังไม่หมดเชื้อเสียทีเดียว ขณะที่สถานการณ์ในอิหร่านกำลังคุกรุ่นจากการประท้วงตามท้องถนน นับตั้งแต่การเสียชีวิตของมาห์ซา อามินี เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และยังอยู่ในวาระสี่สิบวันการจากไปของเธอ ที่กลุ่มประท้วงได้นัดหมายกันทั่วประเทศให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน และ เรียกร้องใช้สโลแกน “ผู้หญิง ชีวิต และเสรีภาพ”
สิ่งที่น่าติดตามต่อจากนี้คือ หนึ่ง-ประเด็นการประท้วงเรียกร้องของชาวอิหร่านทั้งในประเทศและนอกประเทศถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พวกเขาไม่เอาระบอบอิสลามที่มีอยู่อีกต่อไป สอง-ประเด็นการก่อการร้าย การสังหารผู้บริสุทธิ์เมืองชีราซ โดยกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ทั้งสองปรากฏการณ์นั้นมีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่? หรือ นั่นหมายความว่า ขบวนการก่อการร้ายไอเอสเองได้บรรลุเป้าหมายแล้วในการโจมตีอิหร่าน? ที่เคยเป็นปณิธานสูงสุดของพวกเขาว่า “อิหร่าน คือเป้าหมายสูงสุดในการก่อการร้ายของพวกไอเอส” ในขณะฝ่ายความมั่นคงมองว่าการก่อการร้ายในเมืองชีราซครั้งนี้หมุดหมายคือ การสร้างภาพลักษณ์อิหร่านต่อชาวโลกว่า เป็นประเทศที่ไม่มีความปลอดภัยและน่ากลัว ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังคือ ทำเนียบขาวและไซออนิสต์
ผู้บัญชาการกองกำลังหน่วยพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม IRGC นายพลอุเซน สะลามี (Hossein Salami) ได้กล่าวปราศรัยกร้าว ในเมืองชีราซว่า “ผู้ก่อความไม่สงบทั้งหลาย อย่าได้ออกมาที่ถนน วันนี้ จะเป็นการจารจลวันสุดท้าย และ ผู้อยู่เบื้องหลังแผนการชั่วร้ายนี้ เกิดขึ้นจากทำเนียบขาวและไซออนิสต์”
เป็นเสมือนคำเตือนของกองกำลังปฎิวัติ ที่ส่งสัญญาณไปยังผู้ชุมชุมทั้งหลาย และ อาจจะเป็นไปได้ที่ทางรัฐบาล จะใช้มาตรการเข้มและรุนแรง นักวิเคราะห์มองว่า จากท่าทีของผู้ประท้วงที่ไม่อ่อนลง และ การทำลายทรัพย์สิน และ การตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากนั้น เป็นไปได้ที่ทางรัฐบาลต้องใช้มาตรการยกระดับการปราบปรามที่หนักขึ้น
เพราะเป้าหมายของผู้ประท้วงไม่ใช่การเรียกร้องความยุติธรรมของการตายนางสาว เมซ่า อามีนี แต่ได้ยกระดับขั้นการทำลายสาธารณรัฐอิสลามและหมุดหมายคือการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยมองว่าเป็นระบอบเผด็จการ ในขณะเดียวกันการไล่ล่าและเอาคืนผู้ก่อการร้ายที่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์ครั้งนี้ ประธานาธิบดีอิหร่านได้ลั่นกร้าวว่าจะเอาคืนอย่างสาสมและไม่ปล่อยให้ลอยนวยเป็นแน่ และนี่คือฉากทัศน์ทางการเมืองอิหร่านที่น่าจับตาทีเดียว
อายาตุลลอฮ์ ซัยยิด อะลี คามาเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่านได้กล่าวว่า จงร่วมมือสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเผชิญหน้ากับศัตรู ผู้ที่กระทำความผิดและเหล่าผู้ก่อเหตุในอาชญากรรมที่น่าเศร้าใจนี้ จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ทุกคนนั้น มีหน้าที่ในการเผชิญหน้ากับศัตรู ผู้ก่อความไม่สงบ ตัวแทนผู้ทรยศและผู้โง่เขลาหรือผู้เพิกเฉย
ข้าพเจ้าขอเรียกร้องจากหน่วยความมั่นคง ตุลาการสูงสุด ตลอดจนบรรดานักเคลื่อนไหว ทางความคิดและนักเผยแพร่ศาสนา รวมทั้งบรรดาประชาชนที่เคารพทุกคน ให้ร่วมมือสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในการเผชิญหน้ากับกระแส ที่ไม่เคารพต่อชีวิตของประชาชน ความมั่นคงของพวกเขาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
การเมืองอิหร่านต่อไปนี้ น่าจับตาอย่างยิ่ง เป็นความท้าทายของรัฐบาลซัยยิด อิบรอฮีม รออีซี่ ในการจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายไอเอส (ภายในประเทศ) และ การจัดการและควบคุมผู้ประท้วงที่จะต้องเอาให้อยู่หมัด และรวมไปถึงการปกป้องรัฐอิสลาม ซึ่งเป็นอุดมการณ์สูงสุดของประเทศและการปฎิวัติโดยท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฎ.)