“อนุทิน” ยืนยัน รัฐบาลเดินหน้าทำงานไม่มีสะดุด หลังศาลรธน. สั่ง”บิ๊กตู่” หยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมเผย 25-26 ส.ค. จะ เป็นประธานประชุมระดับสูงเอเปคว่าด้วยสาธารณสุข ถก 3 ประเด็น สร้างความพร้อมตอบโต้ภัยคุกคามสุขภาพ ลงทุนเพิ่มความมั่นคง พร้อมกระชับความร่วมมือระหว่างสมาชิก
วันที่ 25 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้มอบหมายให้มาแจ้งต่อสื่อทวลชน โดย นายอนุทินยืนยันว่าภายใต้กฎหมายปัจจุบัน การทำงานของรัฐบาลทุกกระทรวงและหน่วยงานยังคงดำเนินตามปกติไม่มีสะดุด แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะได้มีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่ง
ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขระหว่างวันที่ 22-26 ส.ค. 2565 ได้เป็นเจ้าภาพการจัดประชุม APEC Health Week ที่ กรุงเทพฯ ซึ่งจะมีการประชุมที่เกี่ยวข้องกับงานด้านสาธารณสุขเอเปคที่หลากหลาย และในวันที่ 25-26 ส.ค. นี้จะเป็นการประชุมระดับสูงเอเปคว่าด้วยสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 12 (APEC High Level Meeting on Health and the Economy) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคเข้าร่วมทั้งรูปแบบออนไลน์และออนไซต์
“นายอนุทิน จะเป็นประธานในการประชุมระดับสูงว่าด้วยสาธารณสุขฯ และร่วมหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากเขตเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งจะเป็นแสดงถึงความร่วมมือด้านสาธารณสุขในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก ในการสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจ เพิ่มการลงทุนในการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพโลก และยังสนับสนุนบทบาทที่โดดเด่นขึ้นของไทยในเวทีนานาชาติ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว และ ว่า
ที่ประชุมระดับสูงว่าด้วยสาธารณสุขฯ จะหารือและร่วมกันมีข้อสรุปใน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1.การสร้างสมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ โดยเน้นการดำเนินงานตามมาตรการทางด้านสาธารณสุข และการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและตอบโต้ต่อภัยคุกคามสุขภาพรวมทั้งโรคระบาด สร้างเสริมความเข้มแข็งของระบบสุขภาพและการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีน เครื่องมือในการตรวจวินิจฉัยโรค และยารักษาโรค ในการป้องกันและรักษาโควิด 19 และโรคติดต่ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อป้องกันผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจ
2. การเพิ่มการลงทุนในด้านความมั่นคงด้านสุขภาพโลกโดยเฉพาะการเสริมสร้างขีดสมรรถนะด้านการป้องกัน ตรวจจับและตอบโต้โรคระบาด การเสริมสร้างระบบสุขภาพให้เข้มแข็งและการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้ระบบสาธารณสุขมีความพร้อมรับมือต่อภาวะคุกคามด้านสุขภาพและมีความยืดหยุ่นต่อวิกฤติการด้านสาธารณสุข และสนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลที่เพิ่มประสิทธิภาพของระบบสุขภาพ และ 3. ความร่วมมือที่จะเกิดรูปธรรมระหว่างเขตเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจ