“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” ประธานจนท.บริหาร บ.ทีพีไอ โพลี จำกัด(มหาชน) เขียนบทความพิเศษ ถึง นายกรัฐมนตรี เสนอ2แนวทางแก้วิกฤตปัญหาราคาน้ำมัน ชี้ ทำได้ทันที และจะได้รับคะแนนเสียงอย่างถล่มทลายจากประชาชน
“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) และอดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย และ อดีตเลขาธิการพรรคประชาราช ได้เขียนบทความพิเศษ ถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยจำเสนอมาตราการ แก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยระบุว่า …..มีข้อเสนอฝากไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และถ้ารัฐบาลสามารถทำได้ทั้ง 2 มาตรการที่นำเสนอนี้ งานของท่านก็จะเบาขึ้นอีกเยอะ คะแนนเสียงจะถล่มทลายเป็นแลนด์สไลด์ให้กับฝ่ายรัฐบาล ไม่ใช่ฝ่ายค้านพวกหน้าเหลี่ยม
มาตรการที่ 1
วิธีตรึงราคา น้ำมันดีเซล ให้อยู่ที่ 30 บาท ต่อลิตร หน้าปั๊มน้ำมัน เพื่อไม่ให้ค่าขนส่งขึ้นซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้ราคาสินค้าขึ้นน้อยลงเป็นการรักษาระดับราคาสินค้า ปกติน้ำมันดิบเมื่อนำมากลั่น จะออกมาเป็นน้ำมัน 3-4 ชนิดหลักๆ ได้แก่ น้ำมันดีเซลประมาณ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ น้ำมันเบนซิน น้ำมันแนฟทา พวกอะโรเมติกส์ และน้ำมันเตา อีกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ถึง 70 เปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้นถ้าเราตรึงราคาน้ำมันดีเซลในราคาพอสมควรคือ 30 บาทต่อลิตร โรงกลั่นน้ำมันก็สามารถโอนต้นทุนไปสู่น้ำมันเบนซิน น้ำมันเตา น้ำมันแนฟทา และพวกอะโรเมติกส์ซึ่งถ้าตอนนี้ส่งออกก็จะมีกำไร แต่ถ้าต้องโอนต้นทุนของดีเซลไปให้น้ำมันเบนซิน และพวก aromatics ทั้งหลายก็อาจจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และทำให้กำไรของโรงกลั่นลดน้อยลงแต่ไม่ถึงกับขาดทุน
เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซล ให้กระทรวงพาณิชย์ สั่งโรงกลั่น ให้ขาย ราคาน้ำมันดีเซลในราคาควบคุม 28 บาทต่อลิตรหน้าโรงกลั่น และสั่งควบคุมราคาหน้าปั๊มน้ำมัน ดีเซล 30 บาทต่อลิตร และกระทรวงพาณิชย์ต้องห้าม ส่งออกน้ำมันดีเซล มิฉะนั้น โรงกลั่นจะแกล้งส่งน้ำมันดีเซลทำให้น้ำมันดีเซลขาดแคลน และจะบังคับให้รัฐบาลขึ้นราคาน้ำมันดีเซลอีก
สำหรับ น้ำมันเบนซินและน้ำมันเตา ให้เปิดเสรี ใครจะขายราคาเท่าไหร่ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดน้ำมันเบนซินก็จะไม่แพงเกินไป เพราะน้ำมันเบนซินเมื่อสูงขึ้นก็จะส่งออกได้ลำบาก เพราะฉะนั้นก็จะมีการแย่งกันขาย แข่งกันขายทำให้ราคาน้ำมันเบนซินอยู่ในระดับสูงพอสมควร แต่ไม่สูงเกินไป และโรงกลั่นก็จะมีกำไรพอสมควร ไม่ทำกำไรเกินควรอย่างทุกวันนี้ ในการนี้รัฐบาลยังสามารถเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้เพื่อลดหนี้ 1 แสนล้านบาท ของกองทุนน้ำมันที่กระทรวงพลังงานก่อขึ้น
มาตรการที่ 2
เนื่องจากขณะนี้คนจนเป็นลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หลายล้านคน โดยเป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้เป็นจำนวนมากกว่า 4 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องเข้าอยู่ในบัญชีเครดิต เป็นเหตุให้ธนาคารไม่สามารถปล่อยกู้ให้คนเหล่านี้ได้แม้ว่ารัฐบาลจะอนุมัติเงิน 1 ล้านล้านบาท มาให้ธนาคารปล่อยกู้แต่ธนาคารก็ปล่อยกู้ได้แค่ 1.5 แสนล้านบาทเท่านั้น
วิธีแก้ความยากจนไร้อาชีพของคนสิบกว่าล้านคนนี้ต้องให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยออกระเบียบให้ธนาคารพาณิชย์เรียกลูกหนี้เหล่านี้มารับสภาพหนี้และทำสัญญากู้ใหม่ให้ชำระหนี้คืนหลัง 5 ปีไปแล้ว พร้อมชำระดอกเบี้ยปีละ 1% คืนใน 3 ปีหลังจากนั้น และไม่ต้องอยู่ในบัญชีเครดิตบูโร
ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้เหล่านี้สามารถกู้เงินได้และธนาคารพาณิชย์ก็สามารถปล่อยกู้หนี้ดอกเบี้ยถูก 2-3 ล้านล้านบาท ให้ผู้ยากไร้เหล่านี้ไปเริ่มประกอบอาชีพใหม่ซึ่งน่าจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้ภายใน 5 ปี เจ้าหนี้ก็จะได้หนี้เงินคืนในที่สุด ธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ต้องบันทึกเป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้และสามารถบันทึกกำไร 4 ล้านล้านบาท ทำให้ราคาหุ้นของธนาคารดีขึ้นมากและกระทรวงการคลังก็เก็บภาษีเงินได้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท คนจนเหล่านี้จะมีสัมมาอาชีพมีความสุขโดยทั่วหน้า