“นิพนธ์ บุญญามณี” ในฐานะอดีตนายกฯอบจ.สงขลา เผยเคยแจ้ง บ.พลวิศย์ เทคพลัส จำกัด ผู้ชนะการประมูลแล้วว่า “สัญญาเป็นโมฆะ” จึงไม่จพเป็นต้องบอกเลิกสัญญา เพราะไม่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้น
นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ในฐานะอดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติจะฟ้องตนเองสมัยทำหน้าที่นายกอบจ.สงขลา กรณีเมื่อรู้ว่ามีการฮั้วประมูลทำไม่บอกเลิกสัญญาว่า ข้อเท็จจริงประเด็นนี้ทาง อบจ.สงขลา ได้แจ้ง บริษัท พลวิศย์ เทคพลัส จำกัด ผู้ชนะการประกวดไปแล้วว่าสัญญาเป็นโมฆะ ต้องมาขอคืนหลักทรัพย์ แต่บริษัทพลวิศว์ ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร และไม่ได้มาดำเนินการขอคืนทรัพย์สินด้วย
“เมื่อสัญญาเป็นโมฆะกรรมตั้งแต่ต้น จึงไม่มีผลผูกพันอะไร ไม่ต้องบอกเลิกสัญญา เพราะไม่มีผลผูกพันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว บริษัท พลวิศว์ เพียงแค่ขอคืนหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญา แต่ไม่ได้ขอคืนทรัพย์สิน รถซ่อมบำรุงทางฯจึงยังอยู่ที่ อบจ. เขาไม่มาขอคืนเอง ไม่ใช่หน้าที่ของ อบจ.ที่จะเอารถไปส่งคืนให้เขา” นายนิพนธ์ กล่าวและ ย้ำว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 เมื่อสัญญาเป็นโมฆะ ก็ไม่ต้องบอกเลิกสัญญา เพราะไม่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เป็นโมฆียะ ความหมายต่างกัน “เมื่อหนี้ไม่สมบูรณ์ จึงไม่มีสิทธ์ และหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อกัน”
สำหรับ มาตรา 150 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดไว้ว่า “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัย หรือ เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ” นายนิพนธ์ ยืนยันว่า เรื่องคดีอาญาไม่มีอะไรน่ากลัว สามารถชี้แจงต่อศาลได้ในทุกประเด็น เราเตรียมการทำข้อมูลมานานแล้ว ตั้งแต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งก่อน “การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ก็น่าจะมีประเด็นนี้หยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก จึงเป็นเรื่องไม่น่ากลัวอะไร พร้อมจะชี้แจง และถือเป็นโอกาสดีจะได้ชี้แจงกับประชาชนอีกครั้ง”
นายนิพนธ์ กล่าวในตอนท้ายว่า “ลองคิดดูบริษัท และบุคคลที่ร่วมฮั้วประมูล ถูกดำเนินคดีหมดแล้ว และ ส่วนใหญ่หลบหนีออกนอกประเทศเกือบหมดแล้ว อัยการก็เริ่มทะยอยสั่งฟ้องไปแล้ว นั่นแสดงว่า เบื้องต้นผู้ร่วมฮั้วประมูล มีความผิดจริง เพียงแค่รอศาลตัดสินเท่านั้น ถ้าไม่ผิดจะหลบหนีทำไม มามอบตัวสู้คดีสิ” อดีตนายกฯอบจ.สงขลา กล่าวในที่สุด