ชาวปัตตานีและหลายภาคส่วนร่วมประชุมที่มัสยิดกลางปัตตานี พร้อมลงมติยื่นหนังสือขับไล่ ผอ.โรงเรียนอนุบาลปัตตานี กรณีห้ามเด็กนักเรียนมุสลิมสวมฮิญาบ ขณะที่ศาลปกครองจังหวัดยะลา กรณีสั่งเพิกถอนระเบียบการแต่งกายเปิดทางนักเรียนมุสลิมแต่งตัวตามหลักศาสนาอิสลาม
เวลา 13.30 น. วันพุธที่ 25 พ.ค. 65 ที่ห้องประชุมสำนักงานมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี ได้มีประชาชนจากหลายภาคส่วน ตัวแทนผู้นำศาสนา ตัวแทนภาคประชาสังคม ประชาชนและผู้ปกครองโรงเรียนอนุบาลปัตตานี กว่า 50 คน และนายสายัณห์ สุขจันทร์ ประธานศูนย์พิทักษ์ธรรม พร้อมด้วย ได้จัดประชุมร่วมกัน โดยมี นายอุดร น้อยทับทิม ประธานมูลนิธิศูนย์กลางอิสลามเพื่อการพัฒนายะลา เป็นประธานในที่ประชุม เพื่อกำหนดแนวทางรูปแบบกิจกรรมในการยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เพื่อเรียกร้องใน 2 เรื่อง คือ
1.เรียกร้องให้ทางโรงเรียนปฏิบัติตามศาลปกครองยะลา ที่ได้มีคำพิพากษาให้เด็กนักเรียนสามารถคลุมฮิญาบ (ผ้าคลุมผม) ได้
และ 2.ขอให้ย้ายผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ออกจากโรงเรียน โดยจะมีการยื่นหนังสือให้กับทางผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจังหวัดปัตตานี ที่มีอำนาจและหน้าที่กำกับดูแลข้าราชการทุกส่วนในจังหวัดปัตตานี เพื่อรับเรื่องพิจารณาตามบทบาทหน้าที่เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้ให้เกิดความสันติอย่างแท้จริง
โดยในที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้มีการยื่นหนังสื่อถึงผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เพื่อส่งไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในวันที่ 8 มิ.ย.65 โดยส่งตัวแทนประมาณ 30 คน โดยมีผู้ปกครองของนักเรียนร่วมด้วย พร้อมทั้งทางที่ประชุมได้มีการเชิญชวนให้ประชาชนในพื้นที่ ได้เดินทางเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนั้นด้วย
ขณะที่ฝ่ายโรงเรียน ให้เหตุผลว่า
1.ประเด็นเรื่อง “ที่ธรณีสงฆ์” มีระบุในคำพิพากษาของศาลอยู่แล้ว ทางโรงเรียนไม่สามารถอ้างประเด็นนี้ได้ชัดเจนนัก เพราะโรงเรียนปลูกสร้างบนที่ “ธรณีสงฆ์” ของวัดนพวงศาราม บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด
แต่ประเด็น “ที่ธรณีสงฆ์” ที่ถูกหยิบมาพูดถึงจากทางฝั่งคนพุทธ ก็เพราะมีระเบียบกระทรวงศึกษาฯ และกฎมหาเถรสมาคมระบุว่า ถ้าเป็นโรงเรียนที่ตั้งบนที่ธรณีสงฆ์ พูดง่ายๆ คือ”โรงเรียนวัด” ให้พระ (เจ้าอาวาส) เป็นผู้มีอำนาจในการออกกฎระเบียบต่างๆ และดูแลความสงบเรียบร้อยภายในโรงเรียน
ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขนาดผิดอาบัติ ปาราชิก อะไรอย่างที่พูด เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎระเบียบที่อาจจะสื่อสารกันไม่เข้าใจเท่านั้น และในคำพิพากษาก็มีระบุไว้
2.สาเหตุที่ ผอ.โรงเรียน ยังออกประกาศคำสั่งให้ยึดตามระเบียบเดิมของโรงเรียน คือแต่งกายตามหลักศาสนาไม่ได้ ก็เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด ยังมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งก็เป็นสิทธิของโรงเรียนที่จะอุทธรณ์ได้ เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด ระเบียบของโรงเรียนจึงยังไม่ถูกยกเลิก แต่ศาลยังคงคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว นักเรียนที่เป็นบุตรหลานของผู้ฟ้องคดีเอาไว้ ซึ่งมี 20 คน ให้แต่งกายตามหลักศาสนาได้ ทางโรงเรียนก็ปฏิบัติตามนั้น และผู้ปกครองก็พาเด็กแต่งกายตามหลักศาสนาไปส่งโรงเรียน โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
3.ข้อเรียกร้องให้ผู้ว่าฯย้าย ผอ.โรงเรียน ไม่แน่ว่าผู้ว่าฯ จะมีอำนาจทำได้หรือไม่ เพราะข้าราชการของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ จะขึ้นตรงกับหน่วยงานต้นสังกัดของตน ปลัดกระทรวง หรือ รัฐมนตรีกระทรวงนั้นๆ
4.ระเบียบการแต่งกายของโรงเรียนอนุบาลปัตตานีมีมานานแล้ว และไม่เคยมีปัญหา ทางโรงเรียนให้ข้อมูลในมุมของโรงเรียนว่า ที่ไม่อนุญาตให้แต่งกายตามหลักศาสนา ก็เพื่อความเท่าเทียมของเด็กทุกคน จะได้แต่งกายเหมือนกัน และทางโรงเรียนได้แจ้งระเบียบนี้ให้เด็กและผู้ปกครองทราบตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนแล้วและที่ผ่านมากว่า 50 ปีก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร
นี่คือข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย สองขั้วความคิดเกี่ยวกับการแต่งกายตามหลักศาสนาของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับการกล่าวขานถึงในแง่ “สังคมพหุวัฒนธรรม”