ครม. อนุมัติ 10 มาตรการเร่งด่วนแก้ศก.จากผลกระทบสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” ตรึงดีเซลถึง สิ้นเม.ย. อุ้มหาบเร่-วินมอไซด์ -แท็กซี่ ที่ขึ้นทะเบียนรัฐ ช่วยค่าไฟ -ก๊าซหุงต้ม-ลดเงินสมทบผู้ประกันตน
วันที่ 22 มี.ค.2565 เวลา 13.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า สถานการณ์ความผันผวนของราคาพลังงาน จากระหว่างยูเครน-รัสเซีย ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าและบริการต่างๆ ทำให้ค่าครองชีพมีการปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และตระหนักดีถึงความลำบากของประชาชนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่มีรายได้น้อยและผู้ใช้แรงงาน รัฐบาลจึงได้สั่งให้ระดมความคิดเพื่อหามาตรการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยเร่งด่วน และจะเริ่มดำเนินการได้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกรกฎาคมนี้ อย่างน้อย 10 มาตรการ ประกอบด้วย
1.การเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน โดยเพิ่มเงินจากเดิม 45 บาท เป็น 100 บาทต่อเดือน 2.ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม เดือนละ 100 บาท สำหรับผู้ค่าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 5,500 คน 3.ช่วยเหลือค่าน้ำมันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 157,000 คน โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 250 บาทต่อเดือน และขอให้กรมการขนส่งทางบกกำกับราคาการให้บริการเพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเท่าเดิม
4.คงราคาขายปลีกผู้ที่ใช้ก๊าซ NGV ไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม 5.ผู้ขับขี่แท็กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน สามารถซื้อก๊าซได้ในราคา 13.62 บาทต่อกิโลกรัม 6.ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยลดค่า Ft ลง 22 สตางค์ต่อหน่วยในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 7.ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้นรัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นถ้าเราอั้นไม่ไหวจริงๆก็ต้องเพิ่มจากที่ช่วยครึ่งหนึ่งที่เพิ่มไป
8.กำกับดูแลการปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน โดยใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการปรับราคาให้ไม่ขึ้นสูงเกินไป 9.ลดอัตราเงินสบทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างสามารถมีกำลังในการใช้จ่ายและผู้ประกอบการสามารถมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจในช่วงถัดไป
10.ลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 1.9% และลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ลงเหลือ 42 – 180 บาทต่อเดือน อันนี้ก็ใช้เงินไปเยอะพอสมควรรายได้ก็ลดลง ก็ขอให้เห็นใจรัฐบาลด้วยก็แล้วกัน ตอนนี้เราพุ่งเป้าไปที่คนที่เดือดร้อนที่สุดก่อน ที่เหลือก็ช่วยกันกับรัฐบาลไปด้วย นึกถึงคนที่ยากจนลำบากก่อน
นอกจากนี้ยังให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงพาณิชย์ ออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรให้ได้มากที่สุดก่อนจะเข้าสู่ฤดูการเพาะปลูก โดยเน้นการใช้วัตถุดิบในประเทศ และให้ กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับประเทศต่างๆในการจัดหาปัจจัยการผลิตที่จำเป็นเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปุ๋ย อาหารสัตว์ ที่เราพึ่งพาต่างประเทศจำนวนมาก รวมถึงระยะยาวจะทำอย่างไรกับเรื่องปุ๋ย ให้สามารถผลิตในประเทศได้ในอนาคต