ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษ (ยูเอ็นจีเอ) ที่ได้มีการหารือกันถึงกรณีที่รัสเซียรุกรานยูเครนมาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ได้ลงมติประณามการกระทำของรัสเซียแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีของโลกที่ไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ซาอุฯ และชาติมุสลิม 18 ประเทศงดออกเสียง
ชาติสมาชิกยูเอ็นได้ลงมติสนับสนุนการประณามรัสเซีย 141 ชาติ มี 5 ชาติที่โหวดคัดค้าน และงดออกเสียง 35 ชาติ ขณะที่ประเทศไทยก็ลงมติสนับสนุนข้อมติดังกล่าวเช่นกัน
ข้อมติของสมาชิกยูเอ็น เรียกร้องให้รัสเซียทำการถอนทหารทั้งหมดออกจากดินแดนของยูเครน ภายใต้พรมแดนที่ได้รับการรับรองโดยประชาคมระหว่างประเทศทันที ให้มีการถอนทหารออกโดยปราศจากเงื่อนไข
ถึงแม้ข้อมติจะไม่มีผลผูกพันชาติสมาชิกในทางกฎหมาย แต่ถือว่ามีน้ำหนักในทางการเมืองเพราะสะท้อนถึงจุดยืนร่วมของประเทศส่วนใหญ่ แม้จะยังคงมีข้อสงสัยว่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงการรุกรานทางทหารของรัสเซียในยูเครนได้หรือไม่ก็ตาม
น่าสนใจว่า ในบรรดาชาติมุสลิมมี 29 ประเทศลงมติตามเสียงส่วนใหญ่ อาทิ คูเวต เลบานอน แต่ชาติใหญ่ๆอย่างซาอุดิอาระเบีย กลับงดออกเสียง แสดงให้เห็นถึงท่าทีของซาอุฯ ที่เคยแนบสนิทกับสหรัฐฯ กลับไม่เห็นตามแนวทางของสหรัฐฯ
ขณะที่วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ต่อสายถึงมกุฎราชกุมาร บินซันมาน ให้เป็นตัวกลางในการเจรจากับยูเครน ส่วนประธานาธิบดียูเครน ขอให้จีนเป็นตัวกลางในการเจรจากับรัสเซีย
ในการให้สัมภาษณ์ Tpbs ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่าเป็นเหยียบเรือ 2 แคมของโลกอาหรับ ซึ่งเป็นกานสะท้อนให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกา ไม่ได้เป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวแล้ว แต่มีขั้วอำนาจหลายขั้ว โลกอาหรับจึงต้องการสร้างความสมดุลกับขั้วอำนาจต่างๆ ไม่ยึดเพียงสหรัฐฯเหมือนในอดีต
สำหรับประเทศไทย นายสุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ได้อธิบายท่าทีของไทยต่อการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยพิเศษ ครั้งที่ ๑๑ เมื่อวันที่ ๒ มี.ค. ๒๕๖๕ ระบุว่า
(๑) ไทยเฝ้าติดตามสถานการณ์ในยูเครนด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรง ซึ่งคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
(๒) ไทยสนับสนุนความพยายามในการหาทางยุติสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสันติผ่านการเจรจาที่เป็นไปตามกฎบัตรขององค์การสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยธำรงไว้ซึ่งหลักการว่าด้วยอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน
(๓) ไทยสนับสนุนการเรียกร้องของเลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติในการหาทางยุติเรื่องนี้อย่างสันติวิธี ตามแนวทางของข้อตกลงมินสก์ รวมถึงความพยายามของสหประชาชาติและกลไกในระดับภูมิภาค รวมถึงองค์การเพื่อความร่วมมือและความมั่นคงในยุโรป หรือ โอเอสซีอีและนอร์มังดี ฟอร์แมต เพื่อลดความตึงเครียดและหาข้อยุติอย่างยั่งยืน
(๔) ไทยยังคงกังวลด้านมนุษยธรรมและร่วมเรียกร้องกับประชาคมระหว่างประเทศ ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความอดกลั้นให้ถึงที่สุด รวมถึงการให้ความมั่นใจว่าจะปกป้องคุ้มครองประชาขนและโครงสร้างพื้นฐานฝ่ายพลเรือน
ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ได้มีถ้อยแถลงเรียกร้องการหยุดยิงในยูเครน
ระบุว่า
๑. รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นและสภาวการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางทหารที่กำลังดำเนินอยู่ในยูเครน เราจึงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในทันทีหรือสงบศึก และให้มีการหารือทางการเมืองต่อไปซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนในยูเครน เราย้ำความสำคัญของการหยุดยิงเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเจรจาเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ในปัจจุบัน และหลีกเลี่ยงการเพิ่มความทุกข์ยากของประชาชนผู้บริสุทธิ์
๒. เราอ้างถึงถ้อยแถลงของเราเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๒๒ และย้ำความเชื่อว่า ยังมีพื้นที่สำหรับการหารืออย่างสันติเพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์อยู่เหนือการควบคุม และยุติการสูญเสียทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในการนี้ อาเซียนพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกการหารือโดยสันติระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้
ด้านนายอันโตนิอู กูแตร์เรส เลขาธิการยูเอ็นกล่าวหลังที่ประชุมลงมติแสดงความชื่นชมว่า นี่เป็นการส่งสารที่ดังและชัดเจนว่าให้ยุติความรุนแรงในยูเครนทันที เสียงปืนต้องเงียบลงทันที และเปิดประตูสำหรับการเจรจาและการทูตทันที บูรณภาพและอธิปไตยเหนือดินแดนของยูเครนต้องได้รับการเคารพซึ่งสอดคล้องกับกฏบัตรสหประชาชาติ
กูแตร์เรสกล่าวว่า เราไม่มีเวลาที่จะสูญเสียอีกต่อไป ผลกระทบอันเร็วร้ายจากความขัดแย้งเห็นได้ชัด และมันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่งสำหรับชาวยูเครนในขณะนี้ ทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่ามันจะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกนาทีที่ผ่านไปไม่ต่างจากระเบิดเวลา