“อนุทิน” ลงพื้นที่ จชต.มอบวัคซีนไฟเซอร์ เร่งแก้ปัญหาโควิดในพื้นที่ปลายด้ามขวาน

รมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ มอบวัคซีนไฟเซอร์ เร่งแก้ปัญหาโควิด-19 ตั้งเป้า ภายในเดือนตุลาคม จังหวัดปลายด้ามขวาน ต้องได้วัคซีน 70% พร้อมสั่งเตรียมพร้อมจังหวัดรอบข้างช่วยดูแลสถานการณ์

วันที่ 14 ต.ค.2564 ที่ โรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารฯ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา พร้อมส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์ ให้บุคคลากรทางการแพทย์ เพื่อฉีดให้ประชาชน

โอกาสนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์โควิดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จังหวัดภาคใต้ตัวเลขผู้ติดเชื้อต่อเนื่องประมาณวันละ 2 พันราย โดยเฉพาะ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีน ได้รับรายงานจากกรมควบคุมโรคแล้วว่าในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้วัคซีนถึง 50% ของประชากรแล้ว แต่เป้าของเราคือ 70% ซึ่งคาดว่า จะทำได้ตามเป้าในเดือนตุลาฯ โดยขาดวัคซีนประมาณ 1 ล้านโดส ซึ่งในสัปดาห์นี้ จะลงมา 4 แสนโดส และจะลงมาเพิ่มอีก 6 แสนโดส เมื่อลงมาแล้วก็ต้องลุยฉีด นอจากเรื่องวัคซีน ก็ต้องทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ โดยให้กรมอนามัย กรมสุขภาพจิต รพ.สต. ไปทำความเข้าใจเรื่องมาตรการนิวนอร์มอล เชื่อว่า ทุกอย่างจะดีขึ้น

นอกจากนั้น ยังได้ให้โรงพยาบาลหาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ ประสานกับโรงงานในพื้นที่ เพื่อแบ่งเบางาน เพราะทราบมาว่า งานด้านสุขภาพมีจำนวนมาก ขณะที่ทางด้านฝ่ายกองทัพ ได้รับการประสานจากกองทัพภาคที่ 4 ว่าจะสนับสนุนโรงพยาบาลสนาม ช่วยเหลือกระทรวงสาธารณสุข ปัจจุบันนี้ ได้เริ่มใช้มาตรการ Community Isolation แล้ว มีทางกรมการแพทย์เข้ามาช่วยบริหารจัดการ ต้องขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ ที่ทุ่มเทมาก ภาครัฐ รับรู้ถึงความเหนื่อยยาก และได้มีการอนุมัติงบ เพื่อจ้างบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งอยู่ในระบบราชการ เข้ามาไว้ในระบบ 1 ปี เพื่อแบ่งเบางาน จากนี้ ทางกระทรวงฯ จะเดินหน้าเต็มที่ ให้นโยบายเปิดประเทศ สามารถเดินต่อไปได้ โดยวัคซีนยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ เพราะช่วยลดการป่วย และเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เมื่อเราฉีดเข็มแรกได้ 70% เดือนถัดมาเราจะฉีดเข็ม 2 เลย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เร็วที่สุด และยอดการฉีด เราจะไม่หยุดที่ตัวเลข 70% ของประชากร แต่ถ้าหากประชาชนต้องการ ก็พร้อมลงไปบริการ ได้เตรียมวัคซีนไว้แล้ว อยากฉีดให้ได้มากที่สุด สถานการณ์การที่ชายแดนใต้ เรามีเขตสุขภาพที่ 12 คอยดูแล และได้กำชับจังหวัดใกล้เคียงให้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ ใช้หลักเดียวกับที่กรุงเทพฯ ตอนระบาดหนัก ก็ได้พื้นที่ใกล้เคียงเข้าไปประคอง แต่สถานการณ์ที่ชายแดนใต้ดีกว่า ตรงที่ เรามีวัคซีนแล้ว ขณะที่ตอนที่กรุงเทพฯ เกิดการระบาด เรายังไม่มีวัคซีนมากขนาดนี้ ส่วนเรื่องเปิดด่านชายแดน ก็ต้องไปคุยกับ ศบค. มันต้องดูหลายมิติหลายมุม”

มีรายงานว่า นายอนุทิน ได้ มอบหมายให้ นพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 12 ดำเนินการควบคุมโรคในพื้นที่ โดยใช้มาตรการ 4 ด้าน ได้แก่ 1.DMHTT และ Universal Prevention เพื่อให้ประชาชนตระหนักอยู่เสมอว่าทุกคนมีความเสี่ยงทุกเมื่อ เราจึงต้องป้องกันตัวเองอย่างสูงสุดอยู่ตลอดเวลา ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ 2.มาตรการวัคซีนโควิด ขณะนี้ได้สนับสนุนวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อมาควบคุมการระบาด 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์อัลฟ่า เบต้าและเดลต้า โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องฉีดให้ครอบคลุมประชากร 70% ภายในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งสูงกว่าระดับประเทศที่ตั้งไว้ 50% รวมถึงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กนักเรียนด้วย

3.มาตรการ Covid Free Settings ด้วยการกำหนดพื้นที่ปลอดโควิด-19 และให้ประชาชนที่เข้าใช้บริการพื้นที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม หรือ สถานที่ต่างๆ ได้รับการตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท(ATK) ก่อนเข้าใช้บริการ รวมถึงสถานประกอบการ จะต้องนำพนักงานไปฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน ตรวจ ATK ทุก 3 หรือ 7 วันตามความเหมาะสม ขณะที่พื้นที่ท่องเที่ยว ประชาชนในพื้นที่จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 80% และ 4.การตรวจเชิงรุกในชุมชน ด้วยชุดตรวจ ATK เนื่องจากเราตรวจมากก็จะพบมาก ซึ่งจะเหมือนกับช่วงเดือนส.ค. ที่เกิดระบาดในกรุงเทพฯ ทำให้เราตรวจจับ และแยกผู้ติดเชื้อออกมาได้เร็ว เพื่อตัดวงจรระบาด

และ ในการรองรับสถานการณ์พบผู้ติดเชื้อเพิ้มขึ้น ทาง สธ.ได้ประสานไปยังผู้ว่าราชกาาจังหวัด องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ทำศูนย์พักคอยในชุมชน(Community Isolation) มากขึ้น มีอย่างน้อยตำบลละ 1 แห่ง เพื่อแยกกักผู้ติดเชื้อให้เข้าสู่ระบบการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ