ความจริงที่อัฟกานิสถาน การระเบิดพระพุทธรูปและเนื้อแท้’ตอลีบัน’

ในระหว่างการบริหารประเทศครั้งแรกของกลุ่มตอลีบัน หลังเข้ายุดอำนาจเมื่อปี 1996 ถูกข้อกล่าวหามากมาย ซัยยิด เราะหฺมะตุลลอฮฺ ฮาชิมี ทูตเพื่อสันถวไมตรีจากอัฟกานิสถาน ได้เดินทางไปการบรรยายความเข้าใจ ที่ University of Southern Califonia ลอสแองเจลิส​ ในวันที่ 10 มีนาคม 2544 

ซัยยิด เราะห์มาตุลเลาะห์ ฮาชีมี

ชีวประวัติ
Rahmatullah เกิดในอัฟกานิสถาน​ พ่อแม่เป็นเผ่าของPashtun ในช่วงปี 1980 ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่ประเทศปากีสถาน Rahmatullah เติบโตขึ้นมาในปากีสถานและได้รับการศึกษาในระบบโรงเรียนของปากีสถาน เชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษเช่นเดียวกับภาษา Pashto , เปอร์เซียและภาษาอูรดู

ในปี 1994 Rahmatullah ทำงานเป็นผู้ประกอบการคอมพิวเตอร์และนักแปลที่ สำนักงานย่อยของอัฟกานิสถานกระทรวงการต่างประเทศในกันดาฮาร์ เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักการทูตในสถานเอกอัครราชทูตอัฟกันในกรุงอิสลามาบัดประเทศปากีสถาน ในปี 2541 ในตำแหน่งนี้ เขาได้เดินทางไปทั่วโลกในฐานะทูตของกระทรวงต่างประเทศอัฟกานิสถาน​ ที่ปกครองโดยตอลิบาน เมื่อผู้นำระดับสูงของตอลิบานถูกห้ามไม่ให้เดินทางไปต่างประเทศ Rahmatullah ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของระบอบการปกครองในการเยือนต่างประเทศ

คำบรรยายความเข้าใจ ณ University of Southern Califonia ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

“ผมเพิ่งออกมาพบปะนักวิชาการที่นี่และสิ่งแรกที่เราเริ่มพูดคุยกันก็คือเรื่องอนุสาวรีย์(คงจำกันได้เรื่องการทำลายรูปสลักบนภูเขา” บามียัน”ในอัฟกานิสถาน)ผมเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ทำไมพวกเราจึงรู้เรื่องเหล่านี้น้อยเหลือเกิน”

“ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจปัญหาของอัฟกานิสถาน ไม่มีใครเคยมองปัญหาของพวกเขาและสิ่งเดียวในวันนี้ที่ทุกคนหันมาสนใจอัฟกานิสถานก็คือเรื่องอนุสาวรีย์(บามียัน)​เท่านั้น”

” อัฟกานิสถานเป็นทางผ่านสู่เอเชีย พวกเรากำลังเดือดร้อนเพราะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศนี้ เราได้รับความเดือดร้อนในศตวรรษที่ 18 ศตวรรษที่ 19 และเรายังกำลังเดือดร้อนอยู่ในศตวรรษนี้​ ก็เพราะเรื่องภูมิศาสตร์ เราไม่เคยไปโจมตีสหราชอาณาจักรอังกฤษ เราไม่เคยรุกรานรัสเซีย(โซเวียต)​ แต่เราเป็นผู้ถูกรุกรานมาโดยตลอด ท่านคงจะเห็นแล้วนะว่าเรามิได้เป็นผู้สร้างปัญหา แต่พวกเขาสร้างปัญหาให้กับเรา”

การรุกรานของสหภาพโซเวีต
” ปัญหาของอัฟกานิสถานปัจจุบันเริ่มในปี 1979 ซึ่งในตอนนั้น อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่สงบ แต่แล้วรัสเซียพร้อมกับกองทหาร 140,000 คน ก็เข้าโจมตีอัฟกานิสถานในเดือนธันวาคม ปี 1979 คือเมื่อ 21 ปีมานี้เอง พวกเขายึดครองอยู่ถึง 10 ปี โดยได้ฆ่าประชาชนของเราไป 1.5 ล้านคน พิการอีก 1 ล้านและอีก 6 แสนคนอพยพไปประเทศอื่น ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถทนต่อความโหดร้ายของพวกรัสเซีย แม้นในวันนี้เด็กๆของเราก็กำลังตายอยู่เรื่อยๆ อันเนื่องจากการระเบิดของ​กับระเบิด​ ที่รัสเซียฝังเอาไว้(อีกทั้งความเจ็บป่วยอันเกิดจากอาวุธเคมีและอาวุธเชื้อโรค)เรื่องอย่างนี้ไม่เคยมีใครใส่ใจมันเลย”

” หลังจากที่รัสเซียออกไปจากประเทศนี้ ยังมีอีกด้านหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา รัฐบาลอังกฤษ ฝรั่งเศสและจีนได้ร่วมมือกันให้การสนับสนุน​ กลุ่มมุญาฮิดีนอยู่ 7 กลุ่มในปากีสถานและอีก 8 กลุ่มในอิหร่านมาช่วยกันขับไล่รัสเซีย ครั้นเมื่อรัสเซียถอยทัพออกไปแล้ว บรรดามุญาฮิดีนพวกนี้ก็เข้ามาอยู่ในอัฟกานิสถาน ทั้งหมดล้วนมีวิถีชีวิตและแนวความคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้นยังมีอาวุธอีกมากมายที่ยังคงอยู่ในมือของพวกเขา และแทนที่จะร่วมมือกันกอบกู้ประเทศ พวกเขากลับรบราฆ่าฟันกันเอง ความพินาศที่พวกเขานำมาสู่อัฟกานิสถานนั้นเลวร้ายกว่าพวกรัสเซียเสียอีก มีประชากรถูกฆ่าตายถึง 63,000 คนในกรุงคาบูล คนอีกเป็นล้านต้องอพยพไปที่อื่น อันเนื่องมาจากความป่าเถื่อนที่ไร้ขอบเขตของกฏหมาย”

การก่อกำเนิดตั้งตอลิบาน
” เนื่องจากความป่าเถื่อนไร้กฎหมาย และความพินาศย่อยยับอันสุดที่จะทนทานได้ บรรดานักศึกษา เริ่มเคลื่อนไหว แรกทีเดียวก็เริ่มกิจกรรมในจังหวัดทางภาคใต้ของอัฟกานิสถาน ที่มีชื่อว่า “กันดาฮารฺ”เรื่องมันเกิดจากหัวหน้าทหาร ได้จับตัวเด็กผู้หญิงไป 2 คนและได้ทำการล่วงละเมิดต่อเธอทั้ง 2 คน ผู้ปกครองก็ไปที่โรงเรียนเพื่อขอให้ครูช่วยเหลือ “มุลลอฮิ” ซึ่งเป็นครูประจำโรงเรียนพร้อมกับนักศึกษาอีก 53 คน ได้รวบรวมปืนมาได้ 16 กระบอก แล้วเข้าโจมตีที่มั่นของทหาร หลังจากปลดปล่อยเด็กผู้หญิงทั้ง 2 คนออกมาได้ ก็ได้ทำการแขวนคอผู้บัญชาการรบไปพร้อมๆกับพรรคพวกของเขาด้วย เรื่องนี้คงเห็นกันทั่วๆไปจากรายงานข่าว BBC เมื่อเรื่องราวได้แผ่กระจายออกไปเช่นนี้ ก็ทำให้บรรดานักศึกษาที่อยู่ในที่ต่างๆ ก็เข้ามาร่วมขบวนการนี้ แล้วเริ่มทำการปลดอาวุธบรรดาทหารและนักรบมุญาฮิดีน(ที่เข้ามาขับไล่โซเวียต)​ทั้งหมด กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ได้เข้าปกครองพื้นที่ 95% ของประเทศรวมทั้งเมืองหลวง แต่ยังมีพวกนักรบมุญาฮิดีนหลงเหลืออยู่ตอนเหนือตามรอยตะเข็บของประเทศ”

ความสำเร็จของตอลิบาน
” เราได้เข้ามาบริหารประเทศเพียง 5 ปี เราได้ทำสิ่งต่างฯต่อไปนี้ โดยที่พวกท่านอาจไม่มีโอกาสได้รับรู้มาก่อนเลย
– ประการแรกคือการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งแต่ก่อนนั้นเคยถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วนเราได้รวมไว้เป็นหนึ่ง งานนี้เป็นงานที่ไม่มีใครเคยทำได้สำเร็จ
– ประการที่สองเราได้ทำโดยที่ไม่มีใครเคยทำได้สำเร็จคือการปลดอาวุธประชาชนและนักรบมูญาฮีดีนทั้งประเทศ หลังสงครามกับรัสเซีย คนอัฟกานิสถานทุกคนมีอาวุธที่รัสเซียทิ้งไว้รวมทั้งจรวดและเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ การปลดอาวุธเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่สุด สหประชาชาติเคยเสนอซื้ออาวุธเหล่านี้ โดยตั้งงบประมาณไว้ที่ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่เนื่องจากความไม่เอาไหนของพวกเขา โครงการซื้ออาวุธคืนจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า จากนั้นทุกคนก็ลืมอัฟกานสถานทั้งๆที่พวกเราปลดอาวุธได้ถึง 95% ของประเทศ

– ประการที่สาม เราได้จัดการทำลายการปลูกฝิ่น และห้ามปลูกฝิ่นได้ถึง 75%ของประเทศ อัฟกานิสถานถือเป็นแหล่งปลูกฝิ่นถึง75% ของโลกทีเดียว เมื่อปีกลายเราได้ประกาศให้ประเทศอัฟกานิสถานเป็นประเทศที่ปลอดฝิ่น จนสหประชาชาติภายใต้โครงการ Undep โดยมี Mr.Bernard F. เป็นผู้ประกาศว่าอัฟกานิสถานสามารถกำจัดการปลูกฝิ่นได้ 100% แต่นั่นไม่ใช่ข่าวดีของ UNเลย เพราะทำให้หลายคน​ จากพวกเขาตกงาน อย่างน้อยมีผู้ชำนาญการเรื่องฝิ่น 700 คนที่เคยมีเงินเดือนไม่ต้องเดินทางมาถึงอัฟกานิสถานเลย เมื่อครั้งที่ประกาศการกวาดล้างฝิ่น ผมรู้เลยว่าพวกเขาต้องไม่พอใจ และบัดนี้ก็เห็นแล้วว่าพวกเขาตกงานกันทั้งหมด

– ประการที่สี่ คือการรักษาไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชน ในปัจจุบันนี้พวกท่านคงคิดว่า เราบั่นทอนสิทธิมนุษยชน แต่ความจริงมันตรงกันข้ามกับที่พวกท่านเคยรู้ สิทธิขั้นพื้นฐานคือการมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสิทธิในความปลอดภัย ความมั่นคงและมีชีวิตที่สันติ และสิ่งที่สองคือสิทธิในการได้รับความเป็นธรรมในศาลของอัฟกานิสถานเป็นของฟรีและมีให้ตลอดเวลา”

สิทธิสตรี
” เราถูกวิจารณ์มากเรื่องการละเมิดสิทธิสตรี แต่ท่านทราบไหมว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น? ผมเห็นชาวอัฟกานิสถานนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย ผมคิดว่าเขาคงจะยืนยันร่วมกับผมได้ว่าในชนบทของอัฟกานิสถานนั้น ผู้หญิงถูกปฏิบัติเยี่ยงสัตว์ พวกเธอถูกขายเป็นสินค้า แต่พวกเราเป็นกลุ่มที่ขจัดความอธรรมนี้ออกไป ก่อนหน้านี้พวกนางไม่มีสิทธิที่จะออกความเห็นในการเลือกสามีของนางเลย สิ่งแรกที่เราทำเกี่ยวกับเรื่องนี้คือให้พวกเธอมีสิทธิเลือกอนาคตของเธอเอง อีกอย่างหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นในอัฟกานิสถาน คือผู้หญิงถูกใช้เป็นของขวัญ แน่ละสิ่งนี้มันขัดต่อหลักศาสนา แต่มันเป็นประเพณี เมื่อสองเผ่ารบกันอยู่ๆปราถนาที่จะปรองดองกัน เขาจะกระทำโดยการแลกเปลี่ยนผู้หญิงกัน และสิ่งนี้ได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้วโดยตอลิบาน”

“ผู้หญิงในอัฟกานิสถานทำงานได้ มันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาแกล้งว่าเลย จริงอยู่ก่อนหน้าที่เราจะยึดเมืองคาบูลได้ในปี 1996 ในช่วงนั้นเราได้สั่งให้พวกผู้หญิงอยู่แต่ในบ้าน นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะบังคับพวกเขาให้อยู่แต่ในบ้านตลอดไป แต่เป็นเพราะในช่วงนั้นมันไม่มีกฎหมายคุ้มครอง ไม่มีระเบียบ​ เราจึงต้องให้ผู้หญิงอยู่แต่ในบ้านเพื่อความปลอดภัยของพวกนาง หลังจากที่เราได้ปลดอาวุธพวกนักรบจนหมดแล้ว และได้มีกฎหมายและระเบียบต่างๆขึ้นมาแล้ว เราจึงอนุญาตให้ผู้หญิงออกไปทำงานได้แล้ว จริงอยู่เราไม่ได้ให้ผู้หญิงทำงานในกระทรวงกลาโหมเหมือนที่อเมริกา เพราะเราไม่ต้องการให้ผู้หญิงเป็นนักรบจับอาวุธ​หรือนักบิน​ หรือใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องประดับหรือการโฆษณา แต่ผู้หญิงทำงานในกระทรวงสาธารณสุข,กระทรวงมหาดไทยกระทรวงศึกษาธิการ,กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับกิจการสังคม และในอีกหลายๆงานที่พวกหล่อนกระทำได้

เราไม่มีปัญหาเรื่องการศึกษาของสตรี เราได้พูดเป็นประจำว่า เราต้องการการศึกษาและเราต้องให้การศึกษา ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพที่ถูกบีบคั้นแค่ไหน เพราะการแสวงหาวิชาความรู้เป็นความเชื่อในหลักการของศาสนา แต่เราไม่ต้องการให้ผู้หญิงกับผู้ชายเรียนรวมกันในโรงเรียน(สหศึกษา) แต่มันไม่จริงที่จะแกล้งพูดว่าเราห้ามผู้หญิงแสวงหาวิชาความรู้”

” ทุกวันนี้เรายังมีโรงเรียน ปัญหาอยู่ที่ปัจจัย เราไม่อาจขยายโรงเรียนได้ แต่ก่อนหน้านี้มีหลักสุตรสำหรับกษัตริย์หลักสูตรที่สอนคอมมิวนิสต์และหลักสูตรจาก 7 กลุ่มมุญาฮิดีน นักศึกษาจึงรู้สึกสับสน แต่เราได้จัดหลักสูตรเสียใหม่และเป็นหลักสูตรที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เมื่อเร็วๆนี้เราได้เปิดวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ในเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศและในกันดาฮารฺด้วย มีผู้หญิงเรียนแพทย์มากกว่าผู้ชาย แต่พวกเขาต้องแยกกันเรียน​”

” คณะกรรมการการศึกษาจากสวีเดนก็มาเปิดโรงเรียนสตรีแต่มันไม่พอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราทำได้ในขณะนี้”

อุซามะฮฺ บินลาดิน
เราถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้าย สำหรับอเมริกาแล้วการก่อการร้ายหมายถึงบินลาดิน บินลาดินอยู่ที่อัฟกานิสถานมากว่า 17 ปีแล้ว เขาอยู่ก่อนที่จะมีตอลิบานด้วยซ้ำ บินลาดินอยู่ในอัฟกานิสถานเพื่อต่อสู้กับโซเวียตและคนที่ต่อสู้กับโซเวียตในขณะนั้นได้รับสมญาว่าเป็นผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ​ ซึ่งกล่าวโดยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนและนายดิ๊ก เชนีย์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะผลแห่งการกู้อิสรภาพจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ของสหรัฐฯด้วย แต่เมื่อโซเวียตแตกสลายไปแล้ว สหรัฐก็ไม่ต้องการนักรบ​เหล่านี้อีกต่อไป พวกเขาจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นผู้ก่อการร้าย นี่เป็นสิ่งเดียวกันที่เกิดขึ้นกับยัสเซอร์ อาราฟัต ขณะนี้สหรัฐเรียกเขาว่าวีรบุรุษแห่งสันติภาพ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ถูกประณามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย จะมีอะไรแตกต่างระหว่างสิ่งต่างๆ ที่บินลาดินได้กระทำในช่วงนั้น และได้รับการประณามอีกทั้งถูกถล่มด้วยจรวดในปี 1998″

“การยิงจรวดเข้ามาในอัฟกานิสถานโดยไม่บอกล่วงหน้า โดยไม่ได้ประกาศสงคราม และจรวดทั้งสองลูกก็ได้คร่าชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พวกเขาเพียงแต่ยิงจรวดเข้ามาโดยประกาศว่าต้องการจะฆ่าบินลาดิน ในตอนนั้นพวกเรายังไม่รู้จักว่าใครคือ​” อุซามะฮฺ บินลาดิน​, บินลาดินเป็นใคร ผมก็ไม่รู้จักเขา เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆที่ไม่มีอะไรโดดเด่น พวกเราตกใจมากเมื่อสหรัฐฯประกาศว่า ส่งจรวดมาฆ่าบินลาดิน ผมเห็นว่า เขาเป็นปุถุชนธรรมดาที่อยู่กับบ้านในยามค่ำคืน ผมถูกเรียกเข้าไปประชุมและได้รับทราบว่าสหรัฐโจมตีอัฟกานิสถานด้วยจรวด เขายิงจรวดเข้ามา 70 ลูกเพื่อฆ่าคนๆเดียวแต่เขาพลาดเป้าจากคนๆเดียว​ ไปสู่คนอื่น ที่ต้องตายในครั้งนั้นถึง 19 คน ถ้าเราจะทำอย่างเดียวกับสหรัฐฯทำกับเรา พวกเขาจะยอมหรือ แน่นอนเขาต้องประกาศสงครามแน่ แต่พวกเราสุภาพ เรามิได้ประกาศสงคราม”

ข้อเสนอของตอลีบัน
” พวกเราใจกว้างในเรื่องนี้ เราได้พูดกับสหรัฐฯว่า ถ้าชายคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดที่เคนยาและแทนซาเนีย โดยมีหลักฐานว่าเขาเกี่ยวข้องกับการกระทำที่โหดเหี้ยมนี้แล้ว เราจะลงโทษเขาตามกฎหมาย แต่ไม่มีใครแสดงหลักฐานใดๆ เราสอบสวนเขาอยู่ 45 วัน แต่ก็ไม่มีใครให้หลักฐานแก่เราเลย สหรัฐฯบอกกับเราว่า เขาไม่เชื่อในระบบศาลของเรา เรารู้สึกประหลาดใจว่าสหรัฐจะมีระบบศาลแบบไหนอีกหรือที่เชื่อถือได้ สหรัฐฯพยายามฆ่าคนๆหนึ่งก่อนที่จะมีการสอบสวนนะหรือ​ นี้ถือว่าเป็นระบบศาลที่เชื่อถือได้??

“แม้นว่ามีใครสักคนในประเทศนี้ประกอบอาชญากรรม แล้วตำรวจจะไประเบิดบ้านของเขาก่อนที่ศาลจะตัดสินกระนั้นหรือ? ข้อเสนอของเราถูกปฏิเสธ เขาบอกว่าระบบศาลของเราเชื่อไม่ได้ เราจะต้องส่งตัวบินลาดิน ไปขึ้นศาลที่นิวยอร์ก หลังจากการปฏิเสธข้อเสนอครั้งแรกแล้ว เราก็พยายามอีกโดยการขอให้ขึ้นศาลนานาชาติมาฟังการพิพากษาที่อัฟกานิสถาน แม้นกระนั้นสหรัฐฯก็ปฏิเสธอีก ข้อเสนอครั้งที่สามเราเสนอให้ขึ้นศาลประเทศอื่นที่เป็นประเทศมุสลิมโดยการเห็นชอบของประเทศซาอุดิอาราเบียและอัฟกานิสถาน นั่นก็ถูกปฏิเสธ เราก็ยังเปิดใจกว้าง เราเสนอใหม่เป็นครั้งที่สี่คือผมมาอยู่ที่นี่แล้วพร้อมจดหมายจากผู้นำของเรา และผมก็รีบส่งเป็นทางการเพื่อให้เขาพิจารณา แต่ผมก็เชื่อว่าเขาไม่รับด้วยประการทั้งปวง เพราะเขาต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขาเท่านั้น”

“พวกคุณจำคำพูดของ​ กอร์บาชอฟได้ไหม? เขาบอกว่า เขาทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดให้กับสหรัฐฯ ทุกคนคิดว่าเขาจะโจมตีสหรัฐฯด้วยระเบิดนิวเคลียร์ แต่เขาอธิบายว่า “ผมกำลังจะสลายศรัตรูของสหรัฐฯ”และแล้วเขาก็แบ่งสหภาพโซเวียตออกเป็นเสี่ยงๆ ผลก็คือคนในเพนตากอนจะต้องตกงานกันเป็นแถวรวมทั้ง CIAและFBIด้วย ผมก็เลยคิดว่าเมื่อคนเหล่านี้ต้องตกงาน เพราะต้องถูกตัดงบประมาณในการป้องกันประเทศลงอันเนื่องจากขาดความจำเป็น เขาก็เลยสร้างภาพผู้ก่อการร้ายขึ้นมาเพื่อให้งบประมาณในการป้องกันประเทศได้รับการอนุมัติงบประมาณไว้ตามเดิมหรือมากขึ้น(ใช้ข้ออ้างป้องกันประเทศ​ เพื่อตั้งงบ)​

“อัฟกานิสถานไม่ใช่รัฐก่อการร้าย เราทำเข็มยังไม่ได้แล้วเราจะเป็นผู้ก่อการร้ายไปได้อย่างไร เราจะเอาอะไรไปข่มขวัญชาวโลก ถ้าคำว่า ก่อการร้ายมาจากคำที่น่ากลัวแล้วละก็​ ประเทศที่ผลิตอาวุธได้นั่นแหละ สามารถทำลายได้มากกว่า ประเทศที่ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ เป็นประเทศที่ก่อการร้าย(ข่มขวัญ)ใช่หรือไม่? แต่เราไม่ใช่”

การแซงก์ชั่น(การลงโทษ, คว่ำบาท​)​
ขณะนี้เราถูกแซงก์ชั่นอยู่ การแซงก์ชั่นสร้างปัญหาให้กับเรามาก ทั้งที่เราก็ประสบปัญหามาโดยตลอด เราอยู่ใสภาวะสงครามมาตลอด 23 ปีสาธารณูปโภคของเราถูกทำลายย่อยยับ แล้วยังมีปัญหาคนอพยพ แล้วยังมีปัญหากับระเบิดในแหล่งเกษรตกรรมของเราด้วย และแล้วสหประชาชาติก็ประกาศแซงก์ชั่นอัฟกานิสถานตามคำเรียกร้องของรัสเซีย ขณะนี้เราถูกแซงก์ชั่น เมื่อเดือนที่แล้วมีเด็กๆตายไปหลายร้อยคน เด็ก 700 คนตายเพราะขาดอาหารและทนความหนาวเหน็บไม่ได้โดยไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องนี้เลย”

” แต่ทุกคนรู้เรื่องอนุสาวรีย์ ในขณะที่ประชาชนกำลังตาย เมื่อโลกทำลายอนาคตของเราด้วยการกีดกันทางเศรษฐกิจ พวกเขาจึงไม่มีสิทธิที่จะมายุ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรา ผมได้ถามฝ่ายเหนือของผม ผมได้คุยกับสภานักศึกษาของประชาชนผู้เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้ เขาก็บอกผมว่า ยูเนสโกและองค์กรเอกชนจากสวีเดนหรือจากนอร์เวย์ หรือประเทศใดประเทศหนึ่งในสแกนดิเนเวีย พวกนี้ได้มาหาเราพร้อมกับโครงการที่จะแต่งหน้าอนุสาวรีย์ที่มันผุพังไปโดยธรรมชาติ สภาประชาชนของอัฟกัน​ ได้ขอให้เขาเอาเงินก้อนนั้นมาช่วยประทังชีวิตแก่เด็กๆเหล่านี้จะดีกว่า แทนที่จะเอาเงินไปทำนุบำรุงอนุสาวรีย์ แต่เขาตอบว่า “ไม่ได้ เงินนี้ใช้สำหรับอนุสาวรีย์เท่านั้น”ส่วนประชาชนเขาไม่สนใจเลย ทางสภาจึงตอบไปว่า “ถ้าพวกท่านไม่สนใจในเด็กๆของพวกเรา เราก็จะระเบิดอนุสาวรีย์นี้ทิ้งเสีย หากพวกท่านอยู่ในฐานะของเรา ท่านจะทำอย่างไร? ในเมื่อเด็กๆกำลังจะตายต่อหน้าต่อตาของเรา แล้วท่านก็อยู่ในสภาพที่ถูกกีดกันทางเศรษฐกิจแต่เรากลับมาสร้างอนุสาวรีย์ โดยปล่อยให้เด็กๆตาย ถ้าเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไร?”

โคฟี่ อันนาน
แล้วก็มีโคฟี อันนาน ท่านทั้งหลายรู้จักโคฟี อันนาน เลขาธิการสหประชาชาติ เขาไปที่ปากีสถาน และบอกว่าอยากพบผู้แทนของพวกเราที่นั่น คนๆนี้ไม่เคยใส่ใจที่จะมาอัฟกานิสถาน ไม่เคยอยากที่พูดเกี่ยวกับเด็กๆเหล่านี้ ไม่เคยกล่าวถึงคนอพยพ 6 ล้านคน และไม่เคยกล่าวถึงคนยากจนของอัฟกานิสถาน เขาเดินทางไปในย่านนี้เพียงเพื่อต้องการจะพูดเกี่ยวกับอนุสาวรีย์เหล่านี้ มันช่างน่าทุเรศเสียเหลือเกิน คนพวกนี้ไม่เคยใส่ใจกับเด็กกับคนซึ่งกำลังจะตาย ไม่เคยใส่ใจในการแทรกแซงของต่างประเทศ แต่เขาใส่ใจเฉพาะอนุสาวรีย์ และผมมั่นใจว่า พวกเขาไม่สนใจที่จะเห็นพวกเรามีเผ่าพันธุ์ต่อไปด้วยซ้ำ พวกเขาสนใจสถานที่ท่องเที่ยว บางทีการทำนุบำรุงอนุสาวรีย์ขึ้นมาก็เพื่อทำให้เป็นสถานที่น่าท่องเที่ยว”

“และผมมั่นใจว่า การกีดกันทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงพวกเขาเด็ดขาด สำหรับพวกเราแล้วความศรัทธาอยู่เหนือทุกอย่าง การจะบีบบังคับเราทางด้านเศรษฐกิจจะไม่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความศรัทธาเป็นอันขาด มันอาจจะได้ผลในสหรัฐฯ เพราะที่นั่นเศรษฐกิจคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่สำหรับเราแล้วความศรัทธาอยู่เหนือทุกอย่าง และเราเชื่อว่าการตายเพื่อเป้าหมายดีกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความหมาย”

ลิ้งค์​คลิป

ต้นฉบับ https://ansorimas2507.blogspot.com/…/blog-post_13.html…