วัคซีนไฟเซอร์ ล็อตแรก จากUSA ถึงไทยแล้ว จัดให้แพทย์-พยาบาลก่อน7แสนโดส

วัคซีนไฟเซอร์ ล็อตแรก บินตรงจาก สหรัฐถึงไทยแล้ว เมื่อช่วงเช้าตรู่ที่ผ่านมา โดยตามแผนจะดำเนินการฉีดให้กลุ่มบุคคลากรทางการแพทย์ เป็นลำดับแรก 7แสนโดส 

วันที่ 30 ก.ค.2564 วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.54 ล้านโดส ที่ รัฐบาลสหรัฐฯ มอบให้ประเทศไทย เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว เมื่อเวลาประมาณ 4.30 น. ที่ผ่านมา ด้วยสายการบิน AeroLogic เที่ยวบิน 3S530 โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้เดินทางไปรับมอบ ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ  โดย เบื้องต้น วัคซีนล็อตดังกล่าวมีแผน จะจัดสรรให้บุคคลากรทางการแพทย์มากที่สุด 7แสนโดส

สำหรับการบริจาคครั้งนี้อยู่ภายใต้แผนการของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีที่จะแบ่งปันวัคซีนโควิด-19 จำนวน 80 ล้านโดส ของสหรัฐ ให้กับนานาประเทศทั่วโลกเพื่อช่วยยุติโรคระบาดใหญ่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่า2019 หรือโควิด-19

โดยก่อนหน้านี้ นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวถึงความคืบหน้าการจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ จากสหรัฐอเมริกาให้กับประเทศไทยจำนวน 1.54 ล้านโดส โดยมีการขนส่งออกจากสหรัฐฯ แล้วเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา และมีกำหนดถึงไทยในช่วงเช้าวันที่ 30 ก.ค.2564สำหรับ แผนกระจายวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการจัดสรรไปยังกลุ่มเป้าหมาย เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด-19 ดังนี้

1.บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับภารกิจดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ทั่วประเทศ (เข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน) จำนวน 700,000 โดส
2.ผู้มีภาวะเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ที่มีสัญชาติไทย จำนวน 645,000 โดส
3.ผู้สูงอายุ
4.ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค อายุ 12 ปีขึ้นไป
5.หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป
6.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุ และโรคเรื้อรัง และ
7.ผู้เดินทางไปต่างประเทศ ที่จำเป็นต้องรับวัคซีนไฟเซอร์ เช่น นักการทูต นักศึกษา จำนวน 150,000 โดส

นอกจากนี้โฆษกระทรวงต่างประเทศ ยังกล่าวถึง กระแสข่าวที่ไทยจะเจรจาขอวัคซีนเพิ่มเติมจากสต๊อกของสหรัฐที่เหลือนั้น สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ได้สอบถามกับกระทรวงต่างประเทศสหรัฐแล้ว ได้รับคำตอบว่า วัคซีนส่วนเกินที่อยู่ในสต๊อกตามรัฐต่าง ๆ ยังไม่มีนโยบายจะบริจาคให้ประเทศอื่น แต่ไทยไม่ละความพยายามที่จะประสานช่องทางต่างๆ เพื่อเร่งหาวัคซีนต่อไป