ถึงเวลา!! “บิ๊กตู่” ต้องตัดสินใจ ท่ามกลางวิกฤตศรัทธา รบ. แก้โควิดไม่ได้ใจปชช.

ท่ามกลางสถานการณ์ การแพร่ระบาดของ “ไวรัสมฤตยู” โควิด-19 ที่นับวันตัวเลขผู้ติดเชื้อทวีพุ่งสูงขึ้นทุกวัน และ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีวี่แววว่า สถานการณ์จะดีขึ้น ล่าสุดข้อมูล ณ.วันที่ 23 ก.ค.2564 ศูนย์บริหารการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ ศบค. ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อ 14,260 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสมตั้ง การติดเชื้อระลอกใหม่ 453,104 ราย และเสียชีวิต 119 ราย

กรณีดังกล่าว ย่อมทำให้ความเชื่อมั่น ความศรัทธา ของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมดิ่งเหว ประกอบกับสารพัดปัจจัย ข้อบ่งชี้ ถึงความผิดพลาดในการบริหารงานของรัฐบาลทุกด้าน ล้วนส่งผลให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” กำลังเข้าขั้น “วิกฤติระยะสุดท้าย”

สถานการณ์ขณะนี้เข้าสู่สภาวะวิกฤติอย่างแท้จริง สวนทางกับการรับมือของรัฐบาล ที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แม้จะมีมาตรการล็อคดาวน์อย่างเข้มงวดแต่กลับไม่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างที่ควรจะเป็น ทำเอาจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นจนเกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขจะสามารถรองรับได้ มีคนรอเตียงจนตายให้เห็นกันมากขึ้น เกิดผลกระทบสร้างความเดือดร้อนไปทั้งประเทศ แต่การเยียวยาผลกระทบของรัฐบาลกลับยังไม่ตอบโจทย์ จนตอนนี้กลายเป็นว่า ชีวิตคนไทยต้องมารอลุ้นว่า…จะติดโควิดตายหรือต้องผูกคอตายเพราะความสิ้นหวัง!ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากความผิดพลาดการบริหารจัดการวัคซีนของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ซึ่งแต่เดิมมีการตัดสินใจไม่เข้าโครงการโคแวกซ์ (COVAX) แต่สุดท้ายก็ทำเอา นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ต้องออกมา “เปิดอก” ขอโทษว่า จัดหาวัคซีนได้ในจำนวนที่ไม่เพียงพอต่อเพราะเป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด รวมถึงการกลายพันธุ์ของไวรัสที่เกินความคาดหมาย จนในที่สุดทำให้ไทยต้องขอเจรจาจัดหาวัคซีนร่วมกับโคแวกซ์ โดยมีเป้าหมายของการได้รับวัคซีนในปี 2565

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สวนทางการส่งสัญญาณของฝ่ายการเมือง ทั้ง “บิ๊กตู่”  และ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ที่ ประสานเสียง เจื้อยแจ้ว ตรงกันว่า ไทยจัดหาวัคซีนได้เพียงพอ แต่เมื่อทุกสิ่งอย่างปรากฏชัด การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลผิดพลาด ก็ยิ่งกลายเป็นการลดความน่าเชื่อถือต่อการแก้ปัญหาโควิดของ รัฐบาล ทั้งระบบ จนคนไทยไม่สามารถฝากความหวัง-ฝากผีฝากไข้ได้งานนี้ถ้า “บิ๊กตู่” ยังใช้ระบบเดิม เดินหน้าแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ต่อไป นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว รังแต่จะเป็นการเพิ่มแรงต้านให้กับรัฐบาลและองคาพยพมากยิ่งขึ้น

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเดลต้าที่หนักหน่วงรุนแรง กลับยิ่งทำให้เสียงร่ำร้องของประชาชนดังมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นการ สุมฟืน เสิรมแรงไฟให้ “การเมืองบนท้องถนน” ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เห็นได้จาก ความเคลื่อนไหวของ “ม็อบ 18 ก.ค.”  หรือ  “กลุ่มเยาวชนปลดแอก” ประกาข้อเรียกร้อง ให้รัฐบาลลาออก ซึ่งเริ่มมีจำนวนผู้ร่วมชุมนุมที่ออกมารวมตัวกันมากขึ้น ทั้งนี้…ไม่ใช่ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่กลัวโควิด แต่กลัวตายเพราะโควิดและวัคซีนไร้ประสิทธิภาพนั่นแหละ จึงต้องออกมาเรียกร้อง!

สิ่งที่น่ากังวลคือการตอบโต้ที่หนักหน่วง รุนแรง ฮาร์ดคอร์ จากทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณอันตรายทางการเมือง ที่อาจจะนำไปสู่เงื่อนไข ทวีความรุนแรงที่มากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้นยังมีปรากฎการณ์ดราม่า “ดาราคอลเอาท์ทางการเมือง” ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น และรัฐบาลควรที่จะเปิดใจรับฟัง แต่กลับกัน! เพราะงานนี้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” เลือกที่จะสร้างศัตรูเพิ่มอีกโดยไม่จำเป็น ด้วยการที่คนในรัฐบาลแจ้งความดำเนินคดี ศิลปิน-นักแสดง รวมกว่า 25 คน ในความผิดฐานพาดพิงบุคคลทางการเมืองและรัฐบาล ความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตลอดจนความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบฯยิ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังปิดหูตัวเอง โดยไม่รับฟังปัญหาความเดือดร้อน ไม่รับฟังเสียงร้องไห้ของประชาชน

อย่างไรก็ตามสภาพทั้งหมดเรายังอยู่ที่เดิม การแก้ปัญหาเรียกว่าย่ำอยู่กับที่ไม่ได้แล้ว เพราะเข้าขั้น “ถอยหลัง” และเราจะได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อไต่ระดับมากขึ้น ได้เห็นภาพการเสียชีวิตข้างถนนมากขึ้นเรื่อยๆ หายปล่อยสถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไปจะยิ่งฉุดรั้งให้ย่ำแย่ลงไปทุกมิติ ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน สภาพเศรษฐกิจ และชีพจรของรัฐบาลที่เต้นอ่อนลงทุกวัน

ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาของรัฐบาลที่ดิ่งเหว ประกอบกับสารพัดปัจจัยข้อบ่งชี้ถึงความผิดพลาดในการบริหารงานของรัฐบาลทุกด้าน ล้วนส่งผลให้ “รัฐบาลบิ๊กตู่” กำลังเข้าขั้น “วิกฤติระยะสุดท้าย” แม้ล่าสุด “บิ๊กตู่” จะเลือก “เล่นใหญ่” สั่งกระทรวงกลาโหม และกองทัพเรือ ชะลอซื้อเรือดำน้ำในงบประมาณ 2565 ซึ่งถือเป็นการ จมเรือดำน้ำเพื่อรักษารัฐนาวาเรือเหล็ก โดยอ้างว่านำงบประมาณไปช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 แต่งานนี้ก็ไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับคืนมาได้ เพราะความล้มเหลวของรัฐบาลในการรับมือโควิด-19 มีให้เห็นอยู่ทนโท่นอกจากนั้นยังเกิด “ดราม่าพรรคร่วมรัฐบาล” ที่สะท้อนได้ชัดเจนว่า แต่ละพรรคต่างเล่นบทตีสองหน้าเข้าหากัน โดยฝ่ายหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรค จะเล่นบท “เลิฟซีน” กอดคอกันหวานชื่น เหมือนดังว่าพร้อมร่วมหัวจมท้ายกับ “บิ๊กตู่” ไปชั่วกัลปาวสาน

ทั้งที่ความจริงแล้ว…ทุกฝ่ายต่างก็สัมผัสได้ว่าสัญญาณชีพจรของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” จะอยู่ได้อีกไม่นาน ทุกพรรคเลยพากัน “แทงข้างหลัง” พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง โดยปล่อยให้ลูกพรรคเล่นบทบู๊ระห่ำ ฟาดฟันพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อตีกินคะแนนนิยม ชิงความได้เปรียบทางการเมืองกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน นอกจากนั้นยังเกิดปรากฏการณ์ว่ายน้ำหนีกันจ้าละหวั่น จากการที่ต้องตกเป็นแพะจากการบริหารจัดการโควิดล้มเหลว และการจัดหาวัคซีนผิดพลาด ซึ่งเห็นได้ชัดกรณี สิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ลงทุนซ้อมตายนอนโลงออกสื่อ สะท้อนปัญหาโควิดไล่อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทบชิ่งไปถึงผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข จนทำเอาลูกพรรคภูมิใจไทยต้องออกมาฟาดกลับกันจนฝุ่นตลบ

จุดนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ถูกตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาล จนทำเอา “บิ๊กตู่” พูดขึ้นมากลางวงประชุม ครม. เลยว่า “ผมไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทุกคนช่วยกันทำงาน ผมไม่คิดว่าเป็นเวลาของการเล่นการเมืองนะ ถ้าท่านจะออกจากผมก็แล้วแต่ ผมก็จะทำงานของผมต่อไป ผมไม่ทิ้งคุณ พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ”หากดูจากสถานการณ์โควิด-19 และบริบททางการเมืองว่าแย่แล้ว หันมาดูด้านเศรษฐกิจก็ยิ่งวิกฤติไม่แพ้กัน ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจถูกกระชากลงไปดิ่งเหวทุกวัน ล่าสุด “ธนาคารโลก” World Bank คาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวได้เพียง 2.2% ในปี 2564 ซึ่งปรับลดลงจาก 3.4% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยยังคงมองว่า เศรษฐกิจไทยยังคงถูกกระหน่ำอย่างหนักต่อไปอีกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สอดคล้องกับศูนย์วิจัยของธนาคารในประเทศหลายแห่งที่ปรับลดตัวเลข GDP ของประเทศไทย เหลือต่ำกว่า 1%

และเมื่อมองไปที่การเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามที่รัฐบาลตั้งความหวัง-ขายฝันไว้ว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นได้เพียง “ฝันลมๆแล้งๆ” เสียแล้ว เมื่อสหภาพยุโรป (EU) ถอดประเทศไทยออกจากบัญชีประเทศปลอดภัย (White List) ที่ชาติสมาชิกยกเลิกข้อจำกัดด้านการเดินทางเข้า EU ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศนั้นได้ ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวในภูมิภาค EU ที่จะเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในการเปิดประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจึงแทบจะริบหรี่ก็ว่าได้

เมื่อสถานการณ์ มาถึงขั้นนี้ เหลือทางเดียวสำหรับ ชายชาติทหารอย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ หัวขบวน “ทหารเสือราชินี” จะต้องเร่งตัดสิน อย่างใดอย่างหนึ่งให้ชัดเจน แต่ ถ้ายังคิด ดื้อรั้น ดันทุรัง จะนั่ง เก้าอี้ ครองอำนาจอีกต่อไป อาจจะ กลายเป็นบิกบากรรม ให้จดจำไปจนชั่วชีวิต!!