“หมอยง”ยัน!! ฉีดวัคซีนสลับชนิด ป้องสายพันธุ์เดลต้าได้ เทียบกับฉีดแอสตร้าฯ2เข็ม

24

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ยืนยัน การฉีดวัคซีนสลับชนิดให้ประชาชน จะเพิ่มภูมิต้านทานโวรัส สายพันธ์ุเดลต้า มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ การฉีดวัคซีน แอสตร้าเซเนก้า ถึง 2เข็ม ย้ำที่ผ่านมาไทยยังฉีดได้ไม่ถึง13ล้านโดส จึงต้องเร่งบริหารจัดการให้เหมาะสม

วันที่ 13 ก.ค.2564 เวลา 13.30 น. ที่ กระทรวง สาธารณสุข ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หน.ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวถึงวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ว่า ประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนมาตั้งแต่ 28 ก.พ. 2564 หลังจากนั้นเราก็รณรงค์ การฉีดวัคซีนกันเรื่อยมา วันนี้เรายังฉีดวัคซีนไม่ถึง 13 ล้านโดส เนื่องจากปริมาณ วัคซีน มีจำกัด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารวัคซีนให้ได้ประโยชน์ สูงสุด โดยการศึกษาวิจัยรูปแบบการให้วัคซีนในประเทศไทยจึงมีความจำเป็น ระยะแรกวัคซีนทุกบริษัท ผลิตมาจากต้นแบบสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาที่มีต้นกำเนิดมาจากอู่ฮั่น ซึ่งการผลิตออกมาได้ใช้ เวลาร่วม 1 ปี แต่ในระยะเวลา 1 ปีไ วรัสมีการเปลี่ยนแปลงตัวมันเอง มีการกลายพันธุ์ เพื่อหนีออกจากระบบภูมิต้านทานของเรา

ดังนั้นจึงเห็นว่า บริษัทใดก็ตามแต่ ที่ผลิตวัคซีนได้ก่อน การศึกษาในประสิทธิภาพ วัคซีนจะได้สูง แต่ถ้าบริษัทไหนที่ใช้สายพันธุ์ เดิม แล้วมาศึกษาวิจัยในระยะหลัง ๆ ประสิทธิภาพ วัคซีนจะเริ่มต่ำลง ในประเทศไทยเมื่อมีข้อจำกัดเรื่องวัคซีนที่ใช้ในขณะนี้ โดยเราใช้วัคซีนรูปแบบเชื้อตาย กับรูปแบบไวรัสเวกเตอร์ โดยวัคซีนเชื้อตายเป็นของซิโนแวค ส่วนไวรัสเวกเตอร์ คือ แอสตร้า เซนเนก้า ซึ่งวัคซีนทั้ง 2 รูปแบบต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยไวรัสเชื้อตายจะทำมาโดยวิธีโบราณ ที่ทำมากว่า 50 ปีแล้ว ซึ่งเพาะเลี้ยงไวรัสบนเซลล์เพาะเลี้ยง เช่น เดียวกับ โปลิโอ เชื้อพิษสุนัขบ้า แล้วมาฆ่าทำลายด้วยสารเคมี หลังจากนั้นทำให้บริสุทธิ์ แล้วจึงมาทำในรูปแบบวัคซีนโดยใส่ตัวเร่งภูมิต้านทานที่เรียกว่า เกลืออลูมิเนียม

ส่วนไวรัสเวกเตอร์ เป็นเทคโนโลยี ใหม่ที่ใช้ดีเอ็นเอ ที่มีรหัสพันธุกรรม แปลโค๊ด เดียวกันกับพันธุกรรม ส่วนของโปรตีนโคโรนาไวรัส ใส่เข้าไปในเอนเทอโรไวรัส ของลิงชิมแปนซี โดยเหตุผลที่ใช้ลิงชิมแปนซี เพราะว่าไม่อยากใช้ Human Antino ไวรัส เนื่องจากถ้ามนุษย์เรามีภูมิต้านทานต่อ Human Antino ไวรัส เมื่อฉีดเข้าไป ภูมิต้านทานจะทำลายตัว Antino ไวรัสตัวนั้น ถ้าใช้ชิมแปนซี โอกาสที่จะถูกทำลายมีน้อย ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้ว ไวรัสตัวดังกล่าวก็จะติดเชื้อในร่างกายเรา แต่แพร่ออกจำนวนไม่ได้ เรียกได้ว่าไวรัสถูกทำหมันไปแล้วเรียบร้อย

“เปรียบเสมือนว่า ถ้าเราฉีดไวรัสของชิมแปนซี เราก็เป็นไข้หวัดชิมแปนซี แน่นอนมีอาการปวดเมื่อย มีอาการไข้บ้าง แต่ไวรัสตัวนี้ไม่สามารถแพร่พันธุ์ ได้ เจริญเติบโตไม่ได้ ก่อโรครุนแรงไม่ได้ และไปแพร่สู่คนอื่นก็ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะสร้างโปรตีนในส่วนที่เรียกว่าคล้ายกับโคโรนาไวรัสที่เราใส่เข้าไป กระตุ้นให้ร่างกายเราสร้างภูมิ ต้านทาน ไวรัสเวกเตอร์นี้จะบอกว่า เป็นวัคซีนใหม่ก็ไม่ ใช่ ในกลุ่มวัคซีนเวกเตอร์ ที่มีการใช้ในมนุษย์ มาก่อน คือวัคซีน อีโบลา ที่ใช้มากว่า 5 ปี จึงเห็นว่าตัวนี้ไม่ใช่ตัวแรก” ศ.นพ.ยง กล่าว

ศ.นพ.ยง กล่าวอีกว่า แต่เดิมจะเห็นได้ว่า วัคซีน ชนิดเชื้อตาย การกระตุ้นภูมิต้านทาน จริง ๆ ได้น้อยกว่า การกระตุ้นภูมิต้านทาน ของไวรัสเวกเตอร์ เพราะถึงแม้ไวรัสเวกเตอร์ จะไม่สามารถ แพร่พันธุ์ ได้ แต่จะต้องมีการให้ติดเชื้อ ในเซลล์ ก่อน จึงสามารถกระตุ้น ภูมิต้านทาน โดยก่อกำเนิดมาจากเซลล์ ของเรา สร้างโปรตีนที่เป็นแอนติเจนมากระตุ้นภูมิต้านทาน ซึ่งภูมิต้านทานที่ได้มาจากไวรัสเวกเตอร์ จึงสูงกว่าภูมิต้านทานที่เกิดจากเชื้อตาย เดิมทีวัคซีนซิโนแวคต้องยอมรับว่า การกระตุ้นภูมิต้านทาน สูงเท่าเทียม หรือสูงกว่าภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากคนที่หายป่วยแล้ว เพราะฉะนั้นภูมิต้านคนที่ป่วยสูงขนาดนี้ เมื่อฉีดวัคซีน เชื้อตายเข้าไปจึงมีภูมิต้านทานสูงกว่า หรือเท่าเทียม จึงสามารถป้องกันโรคได้ แต่ตอนเริ่มต้นเมื่อใช้วัคซีน ชนิดนี้ไป การป้องกันโรคก็จะสูง แต่อย่าลืมว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา จึงต้องการภูมิต้านทานที่สูงขึ้น ทำให้สามารถหลบหลีกวัคซีนเชื้อตายที่ต่ำกว่าได้ง่ายกว่า
.
ศ.นพ.ยง กล่าวเพิ่มเติม ว่า ปัจจุบันนี้การศึกษาของเราทำให้รู้ว่า เมื่อให้ครบ 2 เข็มของวัคซีนเชื้อตายนี้แล้วภูมิต้านทานได้เท่ากับคนที่หายจากโรคโดยเฉพาะหายจากการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อู่ฮั่นดั้งเดิม แต่เมื่อมาติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ไม่ว่า อัลฟ่า หรือเดลต้า มันต้องการภูมิต้านทานที่สูงขึ้นจึงทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีน ลดลง และลดลงทุกตัว ของวัคซีนที่ผลิตมาจากสายพันธุ์อู่ฮั่น แต่เนื่องจากวัคซีนบางตัวมีภูมิต้านทานที่สูงกว่า เมื่อลดลงแล้วก็ยังพอที่จะป้องกันได้ เพราฉะนั้นในทางปฏิบัติ จึงต้องพิจารณา ดูว่า ถ้าเราฉีดวัคซีนแอสต ร้า ฯ 2 เข็ม ห่างกัน 10 สัปดาห์ เรารู้ว่า ถ้าฉีดไวรัส เวกเตอร์ 2 เข็ม ห่างกันน้อยกว่า 6 สัปดาห์ ภูมิต้านทานที่กระตุ้นขึ้นสูงไม่ดี เท่ากับที่ห่างกันเกินกว่า 6 สัปดาห์ ยิ่งห่างนานเท่าไหร่ยิ่งดี

ซึ่งแต่เดิมคิดว่า ไวรัสเวกเตอร์ หรือแอนตร้าฯ เข็มเดียว ก็เพียงพอที่สามารถป้องกันไวรัสสายพัน ธุ์อู่เดิมได้ แต่พอมาเจอไวรัสเดลต้าเข้า วัคซีนแอสตร้าฯ เข็มเดียว ไม่สามารถป้องกันได้ แต่กว่าจะรอใช้เวลากว่า 10 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น จึงสามารถป้องกันได้ จึงเป็นที่มาของการหาจุดสมดุลว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยมีภูมิคุ้มกัน เกิดขึ้นเร็วที่สุด ในขณะที่ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ไปมาก

“เรารู้ว่าถ้าใช้วัคซีนเชื้อตายซิโนแ วค 2 เข็ม ภูมิต้านทานสูงไม่พอที่จะป้องกันไวรัสที่มีการกลายพันธุ์มาถึงเดลต้าแล้ว แต่ในขณะเดียวกันแอตร้าฯ เข็มเดียวก็ไม่เพียงพอป้องกันไวรัสเดลต้า กว่าจะรอ 2 เข็มก็ช้าไป จึงเป็นที่มาของการทำการศึกษาว่า ถ้าเช่นนั้นเราจึงฉีดวัคซีนเชื้อตายก่อนค่อยตามด้วยไวรัสเวกเตอร์ ซึ่งการฉีดไวรัสเชื้อตายก่อนเปรียบเสมือนทำให้ร่างกายเราติดเชื้อ แล้วไปสอนนักรบ หรือสอนหน่วยความจำของร่างกายไว้ หลังจากนั้น 3-4 สัปดาห์ ค่อยไปกระตุ้นด้วยวัคซีนที่เป็นไวรัสเวกเตอร์ที่มีอำนาจในการกระตุ้น เซลล์ ของร่างกายมากกว่า ผลปรากฎ ว่า ผลกระตุ้นสูงกว่า และเร็วกว่าที่เราคาดคิดไว้ ถึงแม้จะกระตุ้นได้ไม่เท่า แอสตร้าฯ 2 เข็ม แต่ก็จะให้ภูมิต้านทานที่สูงในเวลาแค่ 6 สัปดาห์” ศ.นพ.ยง ระบุ

ศ.นพ.ยง ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้คนไข้เรามากกว่า 40 คนที่เราได้ติดตามมา จะเห็นได้ว่ากลุ่มก้อนแรกถ้าเราฉีดซิ โน แวค 2 เข็ม ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจะสูงเท่ากับคนไข้ที่หายแล้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันเป็นสายพันธุ์ เดลต้า จึงทำให้ภูมิในขณะนี้ป้องกันไม่ได้ แต่ถ้าเราฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็มแล้ววัดภูมิต้านทานอีก 1 เดือนหลังจากนั้น แสดงว่าห่างกัน 10 สัปดาห์ แล้ววัดที่ 14 สัปดาห์ ภูมิต้านทาน จะสูงเพียงพอ หรือพอสมควรป้องกันไวรัสที่กลายพันธุ์ ได้ แต่เราต้องใช้เวลาถึง 14 สัปดาห์ จึงทำ ให้ ภูมิสูงขนาดนั้น แต่ถ้าเรามาฉีดวัคซีน 2 เข็มที่สลับกัน โดยวัคซีนเข็มแรกเป็นซิโนแวค แล้วเข็มสอง เป็นแอสตร้าฯ จะเห็นได้ว่า ภูมิต้านทานขึ้นมาใกล้เคียงกับการฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็ม ถึงแม้จะน้อยกว่ากันนิดเดียวโดยฉีดแอสตร้า 2 เข็มภูมิต้านทานอยู่ที่ 900 แต่ถ้าฉีดสลับกันเหมือนที่กล่าวข้างต้นภูมิต้านทานอยู่ที่ 800

ซึ่งเปรียบเทียบกับการฉีดซิโนแวค 2 เข็มอยู่ที่ประมาณ 100 แต่ถ้าการติดเชื้อในธรรมชาติจะอยู่ระหว่าง 70-80 ถ้าเป็นแบบนี้ไวรัสที่กลายพันธุ์ ก็มีโอกาสป้องกันได้มีมากกว่า แล้วผลสัมฤทธิ์ ในระดับภูมิต้านของร่างกายให้สูงขึ้นใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์ เพราะฉะนั้นในสถานการณ์ ในการระบาดของโรคที่เป็นไปอย่างรุนแรง เรารอเวลา 12 สัปดาห์ไม่ได้ การที่ต้องการให้ภูมิสูงขึ้นเร็ว การฉีดวัคซีนสลับเข็มเรามีภูมิที่สูงใกล้เคียงกับวัคซีนที่ใช้เวลาถึง 12 สัปดาห์ จึงน่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทย ณ เวลานี้ “แต่ในอนาคตถ้ามีวัคซีนอื่นที่ดีกว่า พัฒนาที่ดีกว่า เราค่อยหาวิธีการที่ดีกว่า หรือไวรัสกลายพันธุ์ ไปมากกว่านี้ก็อาจจะมีวัคซีนที่จำเพาะเจาะจงกับสายพันธุ์ นั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่ที่ต้องมีการฉีดทุกปี เพราะฉะนั้นเวลาทุกวันของเรามีค่ามากในการต่อสู้กับโรคร้าย จึงขอ สนับสนุนให้เห็นว่าข้อมูลทางวิชาการที่ศึกษามาจะเป็นประโยชน์ในการใช้จริง” ศ.นพ.ยง กล่าว

เมื่อถามว่า เชื้อกลายพันธุ์ ในขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างไร และมีผลต่อการฉีดวัคซีนในไทยหรือไม่ ศ.นพ.ยง กล่าวว่า เราได้ทดสอบการ Blocking antibody จะเห็นได้ว่า การเปรียบเทียบซิโนแวค 2 เข็มกับซิโนแวคบวกกับแอตร้าฯ ที่สลับกันแล้ว เปอร์เซ็นต์ การขัดขวางตัวไวรัส ขึ้นไปได้ถึงสูงทีเดียว แต่ทั้งนี้ความปลอดภัยต้องมาก่อน จากการศึกษาเรื่องความปลอดภัยเบื้องต้น มีการฉีดวัคซีน สลับกันแบบนี้ในประเทศไทยมากกว่า 1,200 คนแล้ว ที่ฉีดมากที่สุดคือ รพ.จุฬาลงกรณ์ โดยที่ถูกลงบันทึกในแอปฯ หมอพร้อม โดยให้บันทึกอาการข้างเคียงลงไป ปรากฏว่า ไม่มีใครในจำนวนนี้มีอาการข้างเคียงรุนแรง เพราะฉะนั้นจึงยืนยันว่า การให้วัคซีนที่สลับกันมีความปลอดภัยในชีวิตจริง ส่วนการศึกษาของเราจะมีการนำออกมาอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ผู้ปฏิบัติสบายใจว่า เราไม่ได้มีการฉีดสลับเป็นคนแรก