“ชูวิทย์” แจงหลังโพสต์คลิปในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง บอกคนเที่ยว-ทำงานเลานจ์ไม่ผิด แต่ที่ผิดคือ ปกปิดไทม์ไลน์ บอกลูกผู้ชายพอ ก็พูดออกมาเลย
จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โพสต์คลิปบรรยากาศภายในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง และข้อความผ่านแฟนเพจ ถึงกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสถานบันเทิง ซึ่งต่อมา มีดราม่าว่า คลิปนี้เป็นคลิปเก่า เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และผู้ที่อยู่ในคลิป ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้(8 เม.ย.64) นายชูวิทย์ ได้แถลงข่าว ชี้แจงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ที่ตนโพสต์คลิปลงไป เพราะประชาชนมีสิทธิ์ที่จะได้รู้ว่าภายในร้านเป็นอย่างไร ซึ่งคลับนี้ ตนเปรียบเหมือนไทยคู่ฟ้าคลับ เพราะนักการเมืองหลายคนก็ไป ซึ่งตนอยากให้ดูบรรยากาศภายในว่า ที่นี่คือคลับระดับไฮโซ นั่งดื่มดริงก์หนึ่ง 3,500 บาท ซึ่งก็มีทั้งโซนผับ โซนบาร์ ส่วนบรรดา VVIP มีลิฟต์ ยิงตรงเข้าไปที่ห้องเลย ที่เอาเรื่องนี้มาพูด เพราะอยากให้คนที่เดือดร้อน มาจากบ่อน แรงงานเถื่อน สนามมวย มาจากคนรวยทั้งหมด ที่ทำให้คนจนเดือดร้อน เมื่อเข้าไปในคลับ ไม่มีการเว้นระยะตามมาตรการของรัฐบาล
สิ่งที่อยากจะให้เห็นคือ คนที่ไปเที่ยวผิดหรือไม่ ซึ่งตนถามว่าผิดอะไร ตนเคยทำแบบนี้ รัฐมนตรีก็เคยมา ซึ่งใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่า ซึ่งการเข้าไปในสถานที่แบบนี้ไม่ผิด ไม่ต้องอายด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ทำผิดกฎหมาย คลิปที่ตนโพสต์จึงไม่ได้ปิดบังอะไร แต่คนที่ไปต้องแสดงไทม์ไลน์ เหมือนประชาชนทั่วไป เพื่อที่คนติดตามจะได้ระวังตัว ไม่ไปติดใครต่อ ซึ่งเข้าใจว่าการไปเจรจาอะไรในสถานที่แบบนี้มันลื่น มันคล่อง
ดังนั้น สิ่งที่ตนพยายามจะสื่อให้ชาวบ้านเห็นคือ คลับนี้เป็นเลานจ์หรู คนไปไม่ผิด คนทำงานก็ไม่ผิด แต่ที่ผิด คือ ต้องชี้แจงไทม์ไลน์ที่ชัดเจน เพราะว่ามีผลกระทบ แต่กลับแก้ด้วยการสั่งปิด ทำให้คนทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบ ความเดือดร้อนต่างๆ เหล่านี้ตกอยู่กับประชาชน ถ้าเป็นลูกผู้ชายพอ ก็พูดออกมาเลย นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังได้โชว์คลิปของเด็กในร้าน พร้อมอ้างว่า ลูกค้ามีการวนแก้วเครื่องดื่มให้เด็ก และว่า ทำไมสถานที่แบบนี้ถึงไม่จัดการ ปล่อยให้เปิดได้อย่างไร เข้มงวดกับชาวบ้าน แต่สถานที่แบบนี้ทำไมไม่เข้มงวด
อย่างไรก็ตาม นายชูวิทย์ ยังประเมินว่าการระบาดระลอกนี้น่าจะหนักกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการติดเชื้อที่เริ่มในกลุ่ม “คนรวย” ซึ่งมักมีการพบปะกับคนจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งเลานจ์ลักษณะนี้ไม่ได้มีแค่ในกรุงเทพมหานคร ขณะเดียวกันภาครัฐก็ยังไม่มีความชัดเจนต่อการปิดเลานจ์ และสถานบันเทิง แต่แม้จะมีคำสั่งปิดเลานจ์และสถานบันเทิง 14 วัน ก็ไม่น่าจะช่วยอะไร เพราะเมื่อกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งก็น่าจะมีการแพร่เชื้ออีก เพราะพฤติกรรมของคนที่เข้ามาใช้และให้บริการยังเป็นเหมือนเดิม ฉะนั้นควรจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ เหมือนในต่างประเทศมากกว่า