“จตุพร”คาด ปชช.ทะลัก ไล่”บิ๊กตู่”มืดฟ้ามัวดิน ถ้าคนไม่เอาด้วย พร้อมพิจารณาตัวเอง

ประธานนปช.เฟสบุ๊คไลฟ์ เชื่อว่า จะมีประชาชน เดินทางมาร่วมชุมุนม 4/4/4 อย่างชนิดมืดฟ้ามัวดิน เพื่อขับไล่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ ถ้าหากว่า คนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ก็พร้อมจะพิจารณาตัวเองเช่นกัน

วันที่ 3 เม.ย.64 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk ก่อนถึงวันสุกดิบ การชุมนุมของประชาชนในรหัส 4/4/4 วันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น จะเกิดแรงกระเพื่อมเกิดเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง เชื่อว่า การชุมนุม 4 เมษา 4 โมงเย็นนี้ จะมีประชาชนมาร่วมอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะไม่อาจทนอยู่ภายใต้การปกครองของประยุทธ์และพรรคพวกได้อีกต่อไป

“วันพรุ่งนี้ จะเป็นการชุมนุมยืดเยื้อต่อวันที่ 5 หรือวันต่อๆไปแล้ว ต้องหารือกับประชาชนเป็นมติร่วมกันแบบวันต่อวัน เนื่องจากการชุมนุมในรหัส 4/4/4 เพื่อขับไล่ประยุทธ์ นั้น เป็นการต่อสู้ระว่างประชาชนกับประยุทธ์ ซึ่งไม่มีประโยชน์ส่วนตนอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นสามัคคีประชาชนที่ต้องการให่เกิดการเริ่มต้นประเทศกันใหม่อีกครั้ง”

นายจตุพร กล่าวว่า ก่อนถึงวันสุกดิบการชุมนุมรหัส 4/4/4 ที่จัดในพื้นที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร ซึ่งอยู่เยื้องโรงแรมรัตนโกสินทร์ โดยนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 ชวนนักประชาธิปไตยมาร่วมสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ขับไล่ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจเผด็จการ คสช.ตั้งแต่ยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ในแนวคิดสามัคคีประชาชนนั้น เป็นการสะท้อนว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือคู่ขัดแย้งกันตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่นายอดุลย์ ต้องการสื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายยึดมั่นแนวทางหรือรูปแบบพฤษภา 35 ที่ต่อสู้กับรัฐบาลตระบัดสัตย์ ใช้ รธน.เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ

ส่วนตนนั้น ไปร่วมในฐานะปัจเจกชน โดยได้รับคำชวนจากนายอดุลย์ เพราะเคยร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภา 35 กันมาจนลูกนายอดุลย์เสียชีวิตในการต่อสู้ สำหรับตนต้องรับไม้ต่อจากขบวนการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินไปปักหลักต่อสู้ในพื้นที่ ม.รามคำแหง จนกระทั่งรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร ต้องพ้นจากตำแหน่งไป

“ถ้าตั้งข้อกล่าวหาว่าผมรับงานใครมา ผมตอบง่ายๆว่า ผมรับคำชวนของคุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ อีกทั้งพรุ่งนี้ (4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น) ไม่ได้เป็นเรื่องขององค์กรภาคประชาชน หรือองค์กรอื่นที่ขัดแย้งกันมาตลอด 15 ปี แต่ประยุทธ์กลับได้รับประโยชน์สูงสุดฝ่ายเดียวจากความขัดแย้งของภาคประชาชน ซึ่งมีแต่ความเจ็บปวด”

นายจตุพร ส่งคำพูดถึงประยุทธ์ว่า การเตรียมกำลังตำรวจนั้น เกินความเป็นจริงไป เพราะการจัดการวันพรุ่งนี้ได้ขออนุญาตถูกต้อง จัดในสถานที่เฉพาะชัดเจน และไม่มีการเคลื่อนกำลังไปจุดใด ดังนั้นรัฐบาลควรอำนวยความสะดวกดูแลความปลอดภัยร่วมกัน แต่การระดมกำลังตำรวจทั่วประเทศนั้น เป็นการวิตกจริตเกินเหตุ เป็นความขี้ขลาด มากความกลัวจนเกินความจำเป็น

นอกจากนี้ ตนมาร่วมชุมนุมด้วยการใช้เหตุผลสูงสุดระหว่างภาคประชาชนกับประยุทธ์ เป็นหลักก่อน โดยต้องการสื่อสารถึง เรื่องรัฐธรรมนูญ การทุจริต การสืบทอดอำนาจ ปัญหาสังคม การบริหารเศรษฐกิจที่เหลวแหลกภายใต้การนำของประยุทธ์ โดยทั้งหมดนี้ เราจะสื่อสารด้วยภาษาแบบวิญญูชนมาชำแหละความล้มเหลวของประยุทธ์

ส่วนประวิตร วงษ์สุวรรณ เตือนอย่าทำผิดกฎหมายและประยุทธ์ คำรามให้ดูเหตุการณ์พฤษภา 53 นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ไม่มีใครจะมีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่เราไม่อาจทนการบริหารบ้านเมืองของประยุทธ์ ได้อีกต่อไป เพราะตระบัดสัตย์ ไม่เคยยึดปฎิบัติตามคำมั่นสัญญาเลย อีกอย่าง ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนถึงวันชุมนุม 4 เมษานี้ ตนตกเป็นเป้าหมายหลักถูกป้ายสี ใส่ร้าย ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงกระทำมาต่อเนื่อง แต่ตนกล้าพูดอย่างชัดเจนว่า การใส่ร้ายทำลายตนย้ายขั้วสลับร่างไปอยู่พรรค พปชร. ไปสังกัดฝ่ายเผด็จการ และรับงานมาทำลายคนเสื้อแดงนั้น เป็นข้อกล่าวหาที่เจ็บปวด ซ้ำร้ายยังถูกตอกย้ำด้วยการทำโพลให้บรรลุเป้าหมายอีก

เมื่อมีคำถามว่าย้ายขั้ว สลับข้างไปอยู่กับเผด็จการ ไปเป็นฝ่ายรัฐบาล แน่นอนคงไม่มีใครต้องการให้ตนอยู่ในตำแหน่ง (ประธาน นปช.) นี้อีกต่อไป แต่เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความเท็จ ตนรอวันตามที่ประกาศว่ามีตัวเองภูมิต้านทานด้านอิสรภาพต่ำมาก จึงต้องใช้ในวันจำเป็นตามข้อจำกัดนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย

“ตลอดเวลาของผมตั้งแต่วัยเด็กถึงปัจจุบัน เรามีจุดยืนถึงความเจ็บปวด คนเราถ้าชั่วคงชั่วมาแต่ต้น ไม่ต้องรอติดคุกถึง 4 ครั้ง ถูกดำเนินคดียาวเป็นหางว่าว ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่มีอนาคตทางการเมือง มีชีวิตอยู่แบบยากลำบาก ใครรู้จักผมแล้วต้องรู้ว่า ผมมีชีวิตอย่างคนเดือดร้อนคนหนึ่ง”

ในวันนี้จึงไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัว แต่เป็นเส้นทางที่เราเลือกเดินตามอุดมการณ์ และดำรงจุดยืนตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ดังนั้น 4 ครั้งที่เข้าคุกนั้น ลูกเห็นตนใส่ชุดนักโทษ ถูกใส่โซตรวน ในห้วงชีวิตของเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่เรายังเลือกหนทางนี้ เพราะชีวิตเราเป็นชะตากรรมอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้

ดังนั้น การชุมนุมในพื้นที่ในวันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น จึงเป็นเรื่องความยากลำบาก โดยจะเป็นเปิดไพ่ใบแรก หรือเริ่มยกแรกเพื่อพิสูจน์ว่าไปได้หรือไม่ แม้ท่ามกลางเสียงปรามาสว่า ไม่มีคนเข้าไปร่วม ต้องนั่งตบยุงกัน แต่ตนเชื่อว่า ฝ่ายการข่าวไม่ได้คิดเช่นนั้น เนื่องจากรู้อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่ต้องอดทนอยู่ภายใต้การปกครองของประยุทธ์ นั้น มีความทุกข์กันอย่างไร

“ผมเชื่อว่า วันพรุ่งนี้ (4 เมษา 4 โมงเย็น) คนจะล้นเต็มความจุของอนุสรณ์สถานฯ และผมคงประสานงานกับตำรวจเป็นระยะกรณีเหตุประชาชนมากันจำนวนมาก ผมพูดชัดเจนว่า ถ้าการต่อสู้ให้ประยุทธ์ ออกไปนั้น ถ้าคนไม่เห็นชอบด้วย ผมก็ต้องรู้ตัวเองเหมือนกัน คุณอดุลย์ และคนอื่นก็ต้องรู้เฉกเช่นเดียวกัน แต่ถ้าประชาชนที่ประกาศไม่ทนให้ประเทศไทยถูกประยุทธ์ ปกครองอีก 6 ปีแล้ว ในวันพรุ่งนี้จะเกิดความสามัคคีกัน”

อย่างไรก็ตาม เมื่อแต่ละองค์กรมีประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดมาตลอด 15 ปีนั้น ถ้าไม่ร่วมมือกันแล้ว ประยุทธ์ คงได้อยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป ดังนั้น ตนได้หารือกับนายอดุลย์ เพื่อไม่ชวนองค์กรมาร่วมชุมนุมด้วย เพราะองค์กรมีประวัติศาสตร์ความสูญเสียกันทั้งนั้น ทั้งเสื้อแดง พันธมิตรฯ และ กปปส. ซึ่งความเจ็บปวดเช่นนี้ตนเข้าใจ

ในวันพรุ่งนี้ คนที่ยืนอยู่แถวหน้าของแต่ละฝ่ายต้องทนแบกรับกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ต้องแลกกับอนาคตของประเทศ ต้องแลกกับการอยู่หรือไปของประยุทธ์ ถ้าเราเอาแค่ความรู้สึกของเราแล้ว ประยุทธ์ก็จะอยู่ต้องอย่างน้อย 6 ปี หรือ 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะสิ่งนี้คือโลกความเป็นจริง

อีกทั้งตนมีการข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า ถัดจากนี้ คือในวันที่ 6 เมษายนนี้ คนหนุ่มสาวที่สูญสิ้นอิสรภาพอยู่ในเรือนจำพิเศษ หรือในสถานคุมขังอื่นๆ จะได้รับอิสรภาพ ซึ่งตนภาวนาให้ข่าวนี้ได้เป็นความจริง เพราะคนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้หลงเชื่อประยุทธ์ ที่จะไม่เอาผิดในมาตรา 112 แล้วต่อมาเอาผิด สถาบันฯ ได้รับผลกระทบทั้งขึ้นทั้งล่อง รวมทั้งอนาคตของชาติถูกจับขังคุก ส่วนประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งนายกฯ ต่อไป

สิ่งเหล่านี้ เราจะพูดกันในวันพรุ่งนี้ (4 เมษา 4 โมงเย็น) และภายใต้รหัส 4/4/4 ประยุทธ์ ออกไปจะเป็นความร่วมมือและเป็นจุดเริ่มต้นของประชาชน แม้ไม่ได้มาทั้งหมดก็ตาม แต่เชื่อว่าหลายคนต่างรอการตัดสินใจ เพราะไม่รู้ว่า ประชาชนจริงๆคิดอะไร ส่วนตนแล้ว ทั้งชีวิตไม่กลัวว่า ตัวเองจะต้องสูญเสียอะไร จึงตัดสินใจได้ง่ายดาย เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง จึงของชวนประชาชนมาร่วมในวันพรุ่งนี้ (4 เมษา 4 โมงเย็น) ซึ่งจะเป็นความหลากหลาย รูปแบบเวทีจะประยุกต์กันตามหน้างาน เพราะแน่นอนที่สุดแรงกระเพื่อมในสังคมในวันพรุ่งนี้จะแรงมาก

“ในสนามรบนั้น ผมจะต่อสู้โดยไม่มีอะไรต้องหวั่นวิตกกระทั่งชีวิต แม้ตัวตนจะถูกทุกฝ่ายทำลายทั้งศัตรูข้างหน้า อดีตมิตรข้างหลัง และคนรอบข้าง แต่ผมมีความอดทน เพราะรู้ว่า ผมอยู่ในถนนสายนี้ไม่เปลี่ยนแปลง มีจุดยืนมาตลอดชีวิต มีความเป็นตัวตนของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร จึงขอบอกกับพี่น้องว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นประเทศไทยกันใหม่ และบอกกันอีกครั้งว่า ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย ผมก็จะพิจารณาตัวเอง เพราะหลายคนดูถูก ปรามาส เหยียดหยาม ถากถาง ย่อมเป็นพลังเสมอ”

นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าไม่มีประชาชนเข้าร่วม ตนก็ต้องพิจารณาตามความเป็นจริง ว่า ประชาชนยังเอาด้วยกับประยุทธ์ และถ้าวันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น ประชาชนมาอย่างมืดฟ้ามั่วดินแล้ว ตนเชื่อว่าสถานการณ์เปลี่ยน โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นอย่างมีความชัดเจนขึ้น รวมทั้ง ในวันพรุ่งนี้ ขอประชาชนสบายใจได้ เพราะเราปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง มีการตรวจโควิดทุกขั้นตอน และขอตำรวจมาร่วมตรวจอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายด้วย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจต่อกันว่า เป็นการร่วมตัวของประชาชนอย่างไม่มีเงื่อนไข ต้องการแค่ให้ประยุทธ์ ออกไป เพื่อให้ประเทศไทยได้เดินหน้า

“เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ ถ้าประชาชนมีมติให้ชุมนุมกันต่อในวันรุ่งขึ้น พวกเราก็กำลังหารือกันอยู่ว่า เราอาจจะต่ออีก ในวันที่ 6 เมษาจะมีการนัดหมายของพี่น้องกลุ่มอื่นอยู่แล้ว เราก็จะเว้นหนึ่งวัน แล้วหลังจากนั้นเราจะต่อวันที่ 7 และ 8 หรือวันต่อๆไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจกันในวันพรุ่งนี้”

นายจตุพร กล่าวว่า วันที่ 4 เมษา คือการเริ่มชุมนุมวันแรก เพื่อตัดสินใจว่าจะไปได้หรือไม่ โดยเชื่อว่า การทำอะไรที่ไม่ทำเพื่อตัวเองนั้น ตนวาดหวังว่า ประชาชนจะมีความเข้าใจและจะออกมาร่วมในเส้นทางนี้ร่วมกัน

“พรุ่งนี้ (4 เมษา 4 โมงเย็น) ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นประตู จะเป็นบันไดสำหรับทางออกของชาติบ้านเมือง ถ้าไม่เริ่มต้นก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ การทำลายล้าง หรือฆ่าผมคิดว่า สถานการณ์นี้จบ คุณคิดผิด และอยากทำลายก็ทำลายไป แต่ผมยืนยันจะขับไล่ จะต่อสู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ”

อีกอย่าง ถ้าประยุทธ์ ยึดมั่นคำมั่นสัญญา ไม่สืบทอดอำนาจ ไม่ให้มีการร่าง รธน.ที่เอาเปรียบ เหมือนพินัยกรรมบาป เขียนให้ผู้รับมอบมรดกของ รธน. 2560 พวกเราคงไม่มีวันต้องออกมาต่อสู้อันใดแล้ว แต่วันนี้สถานการณ์ของประเทศเดินมาไกลมาก และเราทนมากแล้วในเวลา 7 ปีภายใต้การปกครองของประยุทธ์

ในวันพรุ่งนี้ (4 เมษา) เราจะร่วมชุมนุมอย่างสันติ ที่สำคัญที่สุดฝ่ายรัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวก รักษาความปลอดภัย ไม่จำเป้นต้องเอาตู้คอนเทนเนอร์มา แต่เรามาแก้ปัญหาร่วมกัน อีกอย่างการชุมนุมเป็นการตั้งเวทีปราศรัยด้วยภาษาแบบวิญญูชน เพื่อชี้ให้เห็นเหตุผลว่า ภายใต้การนำประเทศของประยุทธ์ว่า หากไม่ออกมาต่อสู้ บ้านเมืองจะต้องสูญเสียอะไร แม้กระทั่งความเป็นชาติ ดังนั้น การปราศรัยจะชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นของประยุทธ์

“รหัส 4/4/4 เป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับประยุทธ์ แม้เสียงแวดล้อมประยุทธ์ จะทำให้ประยุทธ์มีความสุข ที่มีคนออกมาปกป้องประยุทธ์ ผมบอกเลยว่า เสียงเหล่านี้ บุคคลเหล่านี้ ตัวละครเหล่านี้เคยทำให้แต่ละรัฐบาลก่อนหน้านี้พังพาบต่อหน้ากันมาตามลำดับ จนมาอยู่กับประยุทธ์ ผมไม่อยากแช่ง ไม่อยากทำนาย แต่ดูอาการแล้วว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับประยุทธ์ จันทร์โอชา”

นายจตุพร กล่าวว่า วันพรุ่งนี้ เราจะทำหน้าที่ประชาชน ส่วนประยุทธ์ ก็ทำหน้าที่รัฐบาล ถ้าประยุทธ์ รับฟังวิกฤตข้างหน้าก็ไม่เกิด รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาล โดยประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และชาติไทยพัฒนา ต้องรับผิดชอบร่วมลดหลั่นกันตามลำดับ