ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้เซ็นคำสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามมุสลิมจาก 13 ประเทศเข้าสหรัฐอเมริกาทันที หลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
โจ ไบเดน ได้เข้าสายานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อ 20 มกราคม ตามเวลาในสหรัฐฯ และหลังสาบานตน เขาได้ลงนามในคำสั่ง 7 คำสั่ง ยกเลิกคำสั่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงยกเลิกนโยบายการห้ามการเดินทางของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ห้ามประชาชนจาก 13 ประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามหรือในแอฟริกาเข้าสหรัฐอเมริกา
โดยทรัมป์ ได้มีคำสั่งเมื่อเข้ารับตำแหน่งในปี 2017 ห้ามนักประชาชนจาก 7 ประเทศมุสลิมส่วนใหญ่เดินทางเข้าสหรัฐฯ ต่อมาฝ่ายบริหารของทรัมป์ ได้ปรับคำสั่งใหม่หลายครั้ง โดยยึดถือคำสั่งในปี 2018 ประเทศที่อยู่ภายใต้ข้อ จำกัด ในการเข้าประเทศมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ข้อห้ามการเดินทางเข้าสหรัฐฯ สามารถยกเลิกได้โดยประธานาธิบดี เนื่องจากออกโดยคำสั่งของผู้บริหาร
“ในฐานะประธานาธิบดีผมจะทำงานร่วมกับคุณเพื่อขจัดพิษแห่งความเกลียดชังออกไปจากสังคมของเรา เพื่อยกย่องการมีส่วนร่วมของคุณ และแสวงหาความคิดของคุณ การบริหารงานของผมจะดูเหมือนอเมริกาที่มีชาวอเมริกันมุสลิม พร้อมรับใช้ประชาชนทุกคน” ไบ เดน เคยกล่าวในระหว่างการรณรงค์หาเสียง
“ในวันแรกผมจะยุติการห้ามชาวมุสลิมนอกรัฐธรรมนูญของทรัมป์”
ทรัมป์กำหนดข้อ จำกัด การเดินทางซึ่งมักเรียกเสียงวิจารณ์ว่า “การห้ามชาวมุสลิม” ผ่านคำสั่งของผู้บริหารหลายชุดที่ห้ามประชาชนจากอิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซีเรีย และเยเมนเป็นการเลือกปฏิบัติทางศาสนาที่ผิดกฎหมาย
จากนั้นทรัมป์ขยายการห้ามให้รวมเวเนซุเอลา และเกาหลีเหนือ และต่อมาได้เพิ่มไนจีเรีย, ซูดาน, เมียนมาร์ และอีกสามประเทศด้วย
“ชุมชนมุสลิมเป็นกลุ่มแรกที่รู้สึกว่าโดนัลด์ทรัมป์ทำร้ายชุมชนผิวสีในประเทศนี้ด้วยคำสั่งแบนชาวมุสลิม การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการเปิดเขื่อนในสิ่งที่กดดันและดูหมิ่นมาตลอดเกือบสี่ปี “ไบเดนกล่าว
นอกจากยกเลิกคำสั่งห้ามมุสลิมบางประเทศเข้าสหรัฐฯแล้ว ไบ เดิน ยังเซ้นยกเลิกคำสั่งของทรัมป์อีกหลายคำสั่ง อาทิ การออกจากข้อตกลงแก้ปัญหาโลกร้อน ออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 4 แสนคน โดยจะยับยั้งกระบวนการถอนตัวของสหรัฐฯ ออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และรวมศูนย์การบริหารงานระดับชาติ เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างเป็นระบบ