พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี เป็นผู้แทนพระองค์ไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดสุวรรณดารารามรามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
วันที่ 19 ต.ค.63 เวลา 16.09 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดกล้าโปรดหระหม่อมให้ เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณีเป็นผู้แทนพระองค์ไปถวายผ้าพระกฐิน ณ พระอุโบสถวัดสุวรรณดารารามรามราชวรวิหาร อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อเดินทางถึงพระอุโบสถวัดสุวรรณดารารามรามราชวรวิหาร รับผ้าไตรจากเจ้าพนักงานศุภรัต วางผ้าไตรเหนือพานแว่นฟ้าซึ่งตั้งอยู่หน้าอาสน์สงฆ์ใกล้เจ้าอาวาส จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชา พระสุวรรณมุณี พระประธานพระอุโบสถหยิบผ้าห่ม สำหรับพระประธานที่วางอยู่บนหลังผ้าไตรมอบเจ้าพนักงาน หยิบผ้าไตรที่พานแว่นฟ้านั้นพาดระหว่างแขน แล้วประนมมือหันหน้าสู่พระประธาน ว่า “นะโม ตัสสะ ฯ” จบ 3 หน แล้วหันหน้าสู่ที่ชุมนุมสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้าพระกฐินแด่พระสงฆ์จำนวน 17 รูป วางผ้าไตรไว้บนพานแว่นฟ้าที่เดิม ประเคนผ้าไตรและเทียนปาฏิโมกข์แด่พระสงฆ์รูปที่ 2 ถวายความเคารพพระราชอาสน์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระสงฆ์ผู้รับผ้าพระกฐินออกไปครองผ้าพระกฐินเสร็จกลับมานั่งยังอาสน์สงฆ์ พร้อมแล้วไปประเคนเครื่องบริวารพระกฐินแด่พระสงฆ์ผู้ครองผ้าพระกฐิน แล้วกรวดน้ำ (พระสงฆ์อนุโมทนา ถวายอดิเรก) กรรมการวัดกล่าวเบิกผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินบำรุงพระอารามเข้ารับของที่ระลึก (จำนวน 100 ราย) เสร็จแล้วกราบที่หน้าเครื่องนมัสการลาพระสงฆ์ ถวายความเคารพพรราชอาสน์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับการเคารพของผู้ร่วมพิธี
ออกจากพระอุโบสถไปยังพระวิหารจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการท้ายที่นั่งบูชาพระประธานประจำวิหาร โดยภายในพระวิหารเป็นห้องโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 7.60 เมตร ยาว 16.00 น. ด้านทิศตะวันตกภายในอาคารมีฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปโลหะลงรักปิดทอง ศิลปกรรมแบบสุโขทัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัย มีซุ้มเรือนแก้วอย่างพระประธานประจำพระวิหาร ทำจากไม้สักจำหลักลายลงลักปิดทองล่องชาด และประดับกระจกสีที่ผนังภายในทั้ง 4 ด้าน มีจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างมากทั้งทางด้านเทคนิควิธีการรูปแบบและเรื่องราว
สำหรับ วัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร ตั้งอยู่ภายในกำแพงกรุงศรีอยุธยาทางทิศใต้ ริมป้อม เพชรตำบลหอรัตไชย อำเภอพระนครศรีอยุธยา บิดาของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้สร้าง “วัดทอง” ขึ้นใกล้กับบริเวณนิวาสถานเดิม ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2310 พม่าได้ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาแตก วัดทองก็ถูกพม่าทำลายกลายเป็นวัดร้างมานานถึง 18 ปี ครั้นใน พ.ศ.2325 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกและสร้างกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีแล้ว ต่อมาใน พ.ศ.2328 ได้ทรงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์วัดทองที่ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่กรุงแตกใหม่ ทั้งอาราม ในการปฏิสังขรณ์
การก่อสร้างครั้งนี้ กรมพระราชวังบวรมหาสุร สิงหนาท พระอนุชาได้ทรงร่วมปฏิสังขรณ์และก่อสร้างพระอุโบสถ พระเจดีย์ และหมู่กุฏิทั้งหมดด้วย เมื่อการบูรณะปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จพระองค์ได้พระราชทานนามใหม่ตามชื่อของพระราชบิดา(ทองดี)และพระราชมารดา(ดาวเรือง)ว่า “วัดสุวรรณดาราราม”เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคต พระมหากษัตริย์รัชกาลต่อมาแห่งราชวงค์จักรี ได้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดนี้ต่อมาเป็นลำดับ มีการก่อสร้างพระวิหารเจดีย์ กำแพงแก้ว และปูชนียสถานอื่นๆภายในพระอารามแห่งนี้ นับได้ว่าวัดสุวรรณดาราเป็นพระอารามแห่งราชวงศ์จักรีโดยแท้ และเป็นวัดที่สวยงามมีสง่าน่าชมยิ่งนัก ปัจจุบันมี พระมหาเวชยันต์ เวชยันโต ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส พระภิกษุจำพรรษา 17 รูป