ฝ่ายค้าน จับ “ประยุทธ์” ขึงพืด ฉะยับ “ตัวการ” ทำชาติพัง “อนุดิษฐ์” ชู3นิ้วไล่

ฝ่ายค้านเปิดเวที ซัด “ประยุทธ์” กลางสภา “พิธา” อัดตัวการของความล้มเหลว มีอำนาจ-งบมากสุด แต่บริหารประเทศห่วยสุด พาเศรษฐกิจไทยเกือบครองแชมป์บ๊วยสุดในเอเชีย  แนะเลิกดูถูก- ทวงบุญคุณ คืนอนาคตให้ประเทศ ก่อนย่อยยับเกินกว่าจะชดใช้ไหว “อนุดิษฐ์” ชู3นิ้วให้ยุติ รธน.เผด็จการ ไล่ บิ๊กตู่”ลาออก คลี่คลายวิกฤตชาติ

วันที่ 9 ก.ย.63 ที่ อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฏร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 โดยสมาชิกได้อภิปรายประเด็นหลักๆ เกี่ยวกับปัญหาต่างๆของประเทศที่เกิดขึ้นจากการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลภายใต้การนำพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ที่ดิ่งลงเหว ปัญหาการเมืองที่ไร้เสภีรภาพ ปัญหาการคุกคามสิทธิสรีภาพประชาชน จนนำมาซึ่งการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้เสนอญัตติ เป็นผู้อภิปรายคนแรกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถูกตั้งฉายาเป็นนายกฯก่อหนี้มากสุดในประวัติศาสตร์ แต่ขณะนี้กำลังเกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เป็นนายกฯที่ถูกประชาชนขับไล่มากที่สุด มีเด็กรุ่นใหม่ออกมาขับไล่ แต่กลับถูกคุกคาม

น.อ.อนุดิษฐ์ ได้ชู 3นิ้วก่อนอภิปรายต่อว่า ขอให้ทุกอย่างจบในสภาที่รุ่นเรา และขอเรียกร้อง 4ข้อคือ 1.ให้ยุติความรุนแรง 2.ยุติการคุกคาม 3.ยุติการออกหมายเรียก 4.ยุติรัฐธรรมนูญเผด็จการ มีการเปิดเวทีให้เยาวชน เสนอข้อเรียกร้องผ่านนายกฯ ปัญหาหนักของประเทศขณะนี้ นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ยังมีเรื่องเศรษฐกิจที่ นับแต่พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจมาตั้งแต่ปี 2557 จนถึงเป็นนายกฯขณะนี้ จัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการณ์ 1ล้านล้านบาท ลากจูงแผ่นดินที่เคยมั่งคั่ง ให้จบสิ้นด้วยหนี้สินกองมหึมา สภาวะขณะนี้เรียกว่าความล้มละลายของประเทศหรือไม่

ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัฐ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปราย เป็นลำดับต่อมาว่า เรามาประชุมวันนี้ ในช่วงที่มึดมนที่สุดของไทย แม้จะผ่านวิกฤตร่วมกันมาครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนหนักหนาและอนาคตมึดมนเท่าครั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตรอบด้าน ปัจจัยที่ถ่วงรั้งไม่ให้ประเทศชับเคลื่อนไปข้างหน้าได้คือ วิฤตภาวะผู้นำของรัฐนาวา ที่ไม่รู้ร้อนหนาวกับสภาวะ ที่ก่อตัวขึ้นในโลก และประชาชนในประเทศนี้ ตอนนี้เรามีการปะทะกันระหว่างคนที่มีหวังกับสิ้นหวัง โดยเฉพาะสิ้นหวังเศรษฐกิจ หากเทียบสถานการณ์ตอนนี้ กับวิกฤตต้มยำกุ้งปี40 ทั้งตัวเลขคนตกงาน และ การหดตัวของจีดีพี แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือระบบการเมือง หรือ โครงการสร้างที่อำนวยให้เกิดการแก้ปัญหา

โดยปี40 เรามีรธน.ที่ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เอื้ออำนวยให้ยึดโยงกับประชาชน แก้ไขวิกฤตให้บ้านเมือง แต่ตอนนี้เรามีระบบการเมืองที่แข็งตัว นิ่งเฉย และไม่ตอบสนอง ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่ลื่นไหวรวดเร็ว จึงรุนแรงยิ่งกว่าปี 40 ทั้งปัญหาโควิค-19 วิกฤตการเมือง หรือการศึกษา เพราะปี63 เรามีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ รัฐธรรมนูญ ที่บิดเบี้ยว ระบบการเมืองที่ รมต.เศรษฐกิจหายากเย็น พอหาได้ก็ต้องลาออกภายใน 27 วัน ไม่สามารถเริ่มทำงานได้ แม้ประชาชนจำนวนมาก จะอยู่ในวิกฤตรุนแรงมากสุดในประวัติศาสตร์ ท่าทีจะเป็นมหาวิกฤตที่ไม่มีใครตอบได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่

นายพิธากล่าวว่า ปัญหาต่างๆทำให้คนหนุ่มสาวต้องออกมาทวงอนาคตของเขาคืน ไม่ใช่ความคิดที่แตกต่างกันระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าอย่างที่บางคนเข้าใจ แต่เป็นการปะทะกันระหว่างคนที่ต้องการจะมีความหวังกับคนที่หมดหวัง ที่ชัดเจนที่สุดคือความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจที่สะท้อนจากตัวเลขหลายตัว และเศรษฐกิจไทยบ๊วยที่สุดในอาเซียน และ เกือบบ๊วยที่สุดของเอเซีย จากการสำรวจไอเอ็มเอฟทั้ง45 ประเทศ เศรษฐกิจไทยสิ้นปีนี้ คาดว่าจะมาเป็นที่โหล่เกือบที่สุดของเอเซีย และ ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ เริ่มส่งผลกระทบต่อคนชั้นกลาง และเจ้าของกิจการ แม้แต่ผลประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ก็ทำท่าจะแย่สุดในอาเซียน

จะติดลบถึง 25% มากที่สุดภูมิภาคจากข้อมูลของMSCI ขณะที่ค่าเงินบาทกลับแข็งตัวที่สุดของเอเซียทำให้กระทบต่อส่งออกในวิกฤตโควิด ที่เราต้องพึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยวและจีดีพี ส่งผลให้เห็นตัวเลขคนว่างงานเพิ่มขึ้นถึง5เท่าเมื่อเทียบกับที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา และในไตรมาสหน้าคลื่นลูกที่3 ที่จะมาถล่มระบบการเงินไทยคือ หนี้สิน เพราะมีการขอปรับโครงสร้างหนี้ ถึง7.2ล้านล้านบาท ที่กำลังจะหมดอายุลงและมีสิทธิ์เป็นหนี้เสียอาจจะมากกว่าที่สถาบันการเงินไทยจะรับไหว

หน.พรรคก้าวไกล ตอกย้ำอีกว่า การหารายได้ของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีปีนี้หลุดเป้า 4 แสนล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องทำงบขาดดุลไปอีกหลายปี หากจะกู้ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำถามคือเหตุการณ์เฉพาะหน้า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไร จากที่มาขอรัฐสภางบฟื้นฟู4 แสนล้านบาท อนุมัติไป4 หมื่นล้าน เบิกจ่ายจริงได้400 ล้านบาท หรือ 0.1% จากที่มาขอสภา โครงการเราเที่ยวปันสุขมีคนใช้สิทธิ์เพียง 17%ของทั้งหมด พรก.เงินกู้ซอฟโลนกลับไม่ซอฟสมชื่อ เพราะเงื่อนไขที่แข็งเกินไปทำให้เอสเอ็มอี เข้าถึงแค่20% วงเงินอีก4 แสนล้านบาทยังค้างเพราะปลดล็อคเงื่อนไขไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงภาวะสูญญากาศของการบริหารเศรษฐกิจไทย กัปตันใส่เกียร์ว่าง ไม่รู้ร้อนหนาวในยามที่พายุโหมกระหน่ำ นอกจากรัฐบาลจะใจเย็นแล้วยังจะเลือดเย็นกับความเดือดร้อนของประชาชน

“ท่านนายกฯคงจะตอบว่ารัฐบาลมีโครงการอยู่แล้วคงไม่ได้ เศรษฐกิจยิ่งแก้ยิ่งต้องเพิ่มความมั่นใจ คนต้องกล้าเข้ามาลงทุนเพิ่ม แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังดิ่งลงตลอดกาล จากตอนเดือนก.พ. ที่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจดัชนีอยู่ที่ 67 ก็ต่ำสุดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้อยู่ที่ 50 สะท้อนว่าประชาชนไม่ได้เชื่อมั่นในสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่เลย ยิ่งร้ายหน่วยราชการยังคอรัปชั่นซ้ำเติมปัญหาประชาชน จากที่สำนักปลัดนายกฯรายงานว่างบปี62 มีการยักยอกทุจริตจัดซื้อจัดจ้างถึง 1.3 หมื่นล้านบาท ถ้าความล้มเหลวที่เกิดจากการที่ท่านบริหารปีแรกผมคงวิจารณ์อีกอย่างว่าเจอพิษโควิตเต็มๆ แต่นี่ท่านยึดอำนาจบริหารมาแล้วก่อน5 ปีเต็มและได้รับอภิสิทธิ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในประเทศไหนที่มีประชาธิปไตย คือไม่มีฝ่ายค้านหรือแรงต้าน ไม่มีการตรวจสอบ งบเกือบ5ล้านล้านบาทสูงที่สุดกว่านายกฯคนไหนๆ แต่ผลงานที่ได้รับคือเศรษฐกิจรั้งท้ายบ๊วยที่สุด ของเอเซีย ”

นายพิธา กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ฉุดรั้งอนาคตคนไทยไว้คือ ระบบราชการและระบบการศึกษา ระบบราชการไทยมีความแข็งตัวสูง เป็นระบบอุปถัมภ์ที่มีแต่พรรคพวก ไม่ยอมให้ใครล้ำเส้น เป็นระบบที่ล้าหลัง ไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน ขณะที่ระบบการศึกษาไทยก็ล้าหลัง และไม่เคยเปลี่ยน โรงเรียนจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะระบบอำนาจนิยมที่แรกที่เด็กได้พบเจอ ทั้งการใช้อำนาจของครูกับลูกศิษย์ หรือรุ่นพี่ที่กดทับรุ่นน้อง วันนี้นักเรียน นักศึกษาต้องการจะปลดแอกตัวเองจากระบบที่ห่วยแตกแบบนี้ เราต้องการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เรายังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะเดินไปอย่างไร เพราะแม้แต่การจัดทำงบประมาณก็ยังทำเหมือนเดิม ระบบราชการยังคงรวมศูนย์ ระบบการศึกษายังไม่มีการปรับตัว สังคมไทยจึงมืดมิด เพราะท่านหวงแหนอดีตที่ทำให้ท่านได้ประโยชน์ แต่สร้างเวรกรรม ทำให้พวกเขาก้าวสู่อนาคตไม่ได้ ทั้งนี้ ไม่มีครั้งไหนที่นักเรียน นักศึกษาประท้วงรัฐบาลมาก และกระจายไปทั่วประเทศขนาดนี้ หยั่งรากลึกลงไปจนถึงระดับนักเรียนมัธยม ซึ่งถ้าท่านปฏิรูปประเทศจริงตั้งแต่ 6 ปีก่อน การชุมนุมของนักศึกษาจะไม่เกิดขึ้น

“ดังนั้น เลิกดูถูก เลิกทวงบุญคุณว่าท่านเข้ามาบริหารประเทศเพราะอะไร เพราะคนที่ปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาก็คือพล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ชัดเจนแล้วว่า ความวุ่นวาย ความสิ้นหวัง ความล้าหลังนั้น ใจความล้มเหลวมันอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านก็ควรหลีกทาง ลงจากอำนาจ คืนอนาคตให้กับประเทศชาติ ออกไปก่อนที่ประเทศจะย่อยยับเกินกว่าที่พวกท่านจะชดใช้ไหว”นายพิธาระบุ