“บิ๊กตู่” งัด! “ประชานิยม”โหมโรง ฉุดศก.

ถือเป็นเกมเสี่ยงเทหมดหน้าตักของ “บิ๊กตู่” ที่แจกแหลกและแหกกฎ หวังโชว์ภาวะผู้นำหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ โดยไม่พึ่งเงาขุนคลัง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ประกาศกร้าว เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ บริหารเศรษฐกิจได้ บริหารเศรษฐกิจเป็น แม้ว่า จะไม่มี รมว. คลัง ปรีดี ดาว ฉาย ที่ลาออกหลังจากทำงานไม่ถึงเดือน

“อย่าติดยึดบุคคลมากนัก ไม่มี รมว.คลัง รัฐบาลก็ยังทำงานบริหารเศรษฐกิจได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังเป็นประธานประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ศบศ.

ในการประชุม ศบศ. ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ถือโอกาส ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ประกอบด้วย

1 แจกเงิน 3,000 บาท ให้ประชาชนอายุ 18 ปี ขึ้นไป 15 ล้านคน ใช้เงินจากพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท

2 จ้างนักศึกษาจบใหม่ทำงาน 2.6 แสนคน ใช้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท จำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท

3 ปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ให้ข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจกว่า 2.2 ล้านคน หยุดงานได้ 2 วัน ไปเที่ยวในโครงการนี้ โดยไม่นับเป็นวันหยุด

มาตรการดังกล่าว ถือเป็นมาตรการจานด่วน ที่เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ เร่งทำออกมา เพื่อโชว์ว่า ไม่ได้มีแต่คำพูดว่า ไม่มี รมว.คลัง ก็บริหารเศรษฐกิจได้ แต่มีมาตรการเข็นออกมาให้เห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นการการันตีรัฐบาลทำจริงไม่ได้ดีแต่พูด

แต่มาตรการจานด่วน ที่เร่งเกินไป อาจจะมาเป็นมาตรการจานร้อนที่ลวกใส่มือทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มีความคิดว่า การบริหารเศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องพึ่ง รมว.คลัง ก็ทำงานได้

มาตรการที่ออกมาต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรใหม่ เป็นมาตรการที่คิดอะไรไม่ออกก็แจกเงินไว้ก่อน โดยอ้างว่าเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ

มาตรการแจกเงิน 3,000 บาท 15 ล้านคน มีแค่กรอบกว้างๆ และมีช่องโหว่อีกมาก ตั้งแต่คนที่มีสิทธิ ขอให้อายุ 18 ปี เท่านั้น สามารถเข้าไปจองสิทธิได้หมด ไม่สนว่าอยากดีมีจน เป็นคนรายได้น้อย เป็นคนรวย เป็นข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจมีเงินเดือนอยู่แล้ว ทุกคนได้หมดขอให้เข้าไปแย่งจองในระบบให้ทันเป็น 15 ล้านคน ให้ได้เท่านั้น

การทำแบบนี้ เหมือนการหว่านเงินไม่มีทิศไม่มีทาง ไม่มีกรอบไม่กลักเกณฑ์ นึกอยากจะแจกก็แจก ซึ่งจะเป็นจุดอ่อนที่ทีมเศรษฐกิจลุงตู่จะถูกโจมตีอย่างหนักต่อไป

นอกจากนี้ ร้านค้าที่ผู้ได้สิทธิจะไปซื้อของได้รัฐบาลตั้งเป้าว่า ต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งได้เปิดทางให้ซื้อของในร้านเซเว่น และห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ได้ด้วย อย่างนี้ก็นึกภาพออกไม่ยากว่า ร้านค้าขนาดเล็กกับร้านเซเว่น ใครจะมีภาษีดีกว่ากัน หากรัฐบาลยังยืนเงื่อนไขนี้ ก็ต้องทำใจเตรียมตัวทัวร์ลงว่า โครงการนี้จริงๆ แล้ว ออกมาเพื่อเอื้อนายทุน

ขณะที่มาตรการจ้างงานนักศึกษาใหม่ โดยรัฐบาลช่วยออกค่าจ้างให้ครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 12 เดือน แบ่งเป็นในส่วนปริญาตรีไม่เกิน 7,500 บาท ปวส. ไม่เกิน 5,750 บาท และ ปวช. ไม่เกิน 4,700 บาท ภายใต้เงื่อนไข ในช่วงเวลา 1 ปี ที่นายจ้างเข้าโครงการนี้ จะต้องไม่ลดการจ้างงานเกินกว่า 15% การผูกมัดเช่นนี้ ไม่มีผู้ประกอบการไหนกล้าเข้า เพราะไม่มีใครบอกได้ว่าในอนาคต 12 เดือน ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องลดรายจ่าย เลิกจ้างพนักงานมากน้อยขนาดไหน หรือ สุดท้ายไปไม่ไหวต้องปิดกิจการก่อน 12 เดือนข้างหน้าก็ได้

ดังนั้น มาตรการจ้างงานที่ถูกออกแบบ ที่ดูเหมือนดีมีหลักการ แต่ในทางปฏิบัติจะล้มเหลว ไม่ได้ผลอย่างที่วาดฝันไว้

สุดท้ายมาตรการตัดผุ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ให้คนจองห้องเที่ยวได้ถึงสิ้นเดือน ก.ย. นี้ จำนวน 5 ล้านห้อง แต่ตอนนี้มีคนจองไม่ถึง 1 ล้านห้อง การให้ข้ราชการหยุดงานได้ 2 เที่ยว จะตรวจสอบได้อย่างไร ว่า ข้าราชการหยุดไปแล้วเที่ยวในโครงการนี้ จะป้องกันอย่างไรว่าหยุด 2 วัน นอนเล่นอยู่บ้านหรือไปเที่ยวที่ไม่เกี่ยวกับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้โครงการเราเที่ยวด้วยกันล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก

ส่วนการเปิดประเทศให้ต่างชาติกลับเข้ามาเที่ยวไทย ที่พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศกร้าวว่าไม่ทำเศรษฐกิจอยู่ไม่ได้ โดยจะดีเดย์ 1 ต.ค. นี้เป็นต้นไป เริ่มจากภูเก็ตโมเดล มาถึงวันนี้ นายกรัฐมนตรีเริ่มออกอาการกล้าๆ กลัวๆ เพราะหวั่นใจว่าหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาและนำเชื้อโควิดเข้ามาติดในประเทศ ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยแทนที่จะฟื้นจะกลายเป็นทรุดดิ่งเหวมากลงไปอีก

ต้องยอมรับว่า ขณะนี้ทุกอย่างบีบรัดทีมเศรษฐกิจลุงตู่จนหายใจแทบไม่ออก ยิ่ง รมว.คลัง มาโดดหนีทำให้ภาพรัฐบาลในการบริหารเศรษฐกิจเสียหายรุนแรง ทำให้ลุงตู่ต้องสวมวิญญาณหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ด้วยสรุปออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกลบกระแส บริหารเศรษฐกิจไม่ได้เช่นนี้ ถือเป็นการเสี่ยงแสนเสี่ยงที่มาตรการออกมาที่ยังไม่ตกผลึกจะไม่ปัง และทำให้รัฐบาลพังเพิ่มมากขึ้นไปอีก