ศึกสีกากี! “วิระชัย” เดือด ฟ้อง “บิ๊กแป๊ะ” ทำไร้สิทธิ์ ชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.

“วิระชัย” ส่งทนายฟ้อง “จักรทิพย์” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จงใจกลั่นแกล้งให้ถูกสำรองราชการ เสียสิทธิ์รับตำแหน่ง ผบ.ตร. กรณี ปล่อยคลิปเสียง คดียิงรถ “บิ๊กโจ๊ก” ศาลอาญาทุจริตฯ นัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้อง 8 ก.ย.นี้

วันที่ 24 ส.ค.2563 ที่ศาลอาญา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีต รองผบ.ตร. ซึ่งถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งสำรองราชการ ได้มอบหมายให้ นายสัญชัย ทรัพย์เจริญ ทนายความ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นจำเลยในข้อหา ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์ ตามป.อาญามาตรา 157

โดยคำฟ้องมีใจความว่า จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับ

จากกรณีวันที่ 6 มกราคม 63 มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจประชาชน ขณะนั้นจำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรไทย และโจทก์รักษาราชการแทนจำเลย ในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักร และมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนจำเลยตามกฎหมาย จึงเข้าไปควบคุมกำกับดูแลและเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้มีการจัด คนร้ายได้โดยเร็ว

ต่อมา จำเลยได้โทรศัพท์ติดต่อมายังโจทก์เวลาประมาณ 21.30 น. ซึ่งเวลาดังกล่าวโจทก์เข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทึกรายละเอียดในการสนทนาเพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วนจึงต้องใช้การบันทึกเสียงแทนการจดบันทึกเพราะเห็นว่ากรณีมีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน

จากบทสนทนาดังกล่าวจำเลยได้พูดระบายความรู้สึกในใจ ที่มีต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล พร้อมทั้งการกระทำของโจทก์ที่เข้าไปควบคุมคดีนี้ การสนทนาดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการ เพราะขณะนั้นจำเลยอยู่นอกราชอาณาจักรไทย ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และบทสนทนาดังกล่าวไม่ใช่ความลับจึงไม่ได้เป็นความลับทางราชการ

ต่อมามีผู้ไม่หวังดีนำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชนทำให้จำเลยไม่พอใจโจทย์อย่างมาก ประกอบกับเป็นช่วงระยะเวลาที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แทนจำเลยที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2563 ซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเพราะมีอาวุโสอันดับ 1 และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่จำเลยไม่ต้องการให้โจทก์ได้รับการแต่งตั้ง จึงได้ออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยหลายประการเพื่อให้โจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ต่อมาจำเลยได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีโทรศัพท์สั่งการคดียิงรถพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำตามคำสั่ง มีข้อสรุปว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง

การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายเพราะทำให้โจทก์ต้องถูกบังคับจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเสียสิทธิ์ในการได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 1 เนื่องจากขาดคุณสมบัติเพราะถูกสำรองราชการและเกิดความเสียหายเนื่องจากการสำรองราชการไม่มีเงินประจำตำแหน่ง เหมือนตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและเป็นตำแหน่งที่ รวมทั้งไม่มีเกียรติไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และถือเป็นตำแหน่งที่มีไว้สำหรับตำรวจผู้กระทำผิดอาญาอย่างร้ายแรง

การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

ทั้งนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาตรวจคำฟ้อง และนัดฟังคำสั่งวันที่ 8 กันยายนเวลา 09.30 น. โดยที่ตัวจำเลยยังไม่ต้องเดินทางมาฟังคำสั่ง แต่ฝ่ายโจทก์ ต้องมาฟังคำสั่งว่าคำฟ้องครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่.