ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสวิพากษ์ วิจารณ์ คดี “บอส” ทายาท กระทิงแดง กลายเป็นประเด็นร้อน และ คำถาม ที่ กำลังได้รับความสนใจจาก สาธารณชน คือ จะ “ฟ้องคดี “หรือ “ไม่ฟ้องคดี”
หลังการแถลง คณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีของอัยการ กรณี “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ในข้อหาขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย …ว่าเป็นการสั่งคดีที่ “ถูกต้องแล้ว” เพราะยึดระเบียบ ข้อกฎหมาย และที่สำคัญ “ตำรวจ” ก็ไม่มีความเห็นแย้ง !!
กรณี จุดกระแสต่อต้าน จากสังคม และสร้างความ “คาใจ” อย่างมาก หลังคดีเงียบหายไปนาน แต่จู่ๆ กลับมีคำสั่ง “ไม่ฟ้องคดี”
แม้ก่อนหน้านี้ ได้มี “นักกฎหมาย” ออกมาท้วงติงว่า คดีนี้ อัยการสำนักงานอัยการอาญากรุงเทพใต้ ได้สั่งฟ้องแล้ว… เรื่อง กำลังเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรม เพียงแต่ยังนำตัว “บอส” มาขึ้นศาลไม่ได้ เพราะหนีไปต่างประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้ อัยการคณะอื่นจะมา “กลับคำสั่งไม่ได้” เพราะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย …แต่ดูเหมือนว่าคณะทำงานของอัยการ “เนตร นาคสุข” จะมองข้ามข้อท้วงติงนี้ไป ….สร้างความสับสนให้กับสาธารณชนไม่น้อย
แต่ก่อน ที่ กระแส จะเตลิด เปิดเปิง ไปไกลกว่านี้ ล่าสุด มีความเห็นจาก “อรรถพล ใหญ่สว่าง” ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ทำหนังสือถึง “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด ยกข้อกฎหมาย ฟันธงสรุปว่า การสั่งคดีของรองอัยการสูงสุด “เนตร นาคสุข” ไม่ชอบ และ ไม่สามารถสั่งให้ ผู้ต้องหาคดีสำคัญ “หลุดคดี”
กระนั้นก็ตามที ยังมีหลายฝ่าย ข้องใจ ดังนั้น จึงต้อง พลิกหนังสือของ ประธานคณะกรรมการอัยการ มาตีแผ่ให้กระจ่างดังนี้
กรณีพนักงานอัยการ มีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” และคำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งของอัยการสูงสุด เมื่อตำรวจไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ถึงจะเป็นคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่ฟ้อง… หากตำรวจแย้งอัยการ ให้อัยการส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นแย้งไปยัง อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด เมื่อ อัยการสูงสุด ชี้ขาดว่า “ไม่ฟ้อง” ถึงจะเป็นคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่ฟ้อง
หากพนักงานอัยการมีคำสั่ง “ฟ้อง”ไว้แล้ว แต่มีการกลับคำสั่งเป็น “ไม่ฟ้อง” …ให้เสนอตามลำดับชั้นจนถึงอธิบดี เพื่อพิจารณาสั่งคดี แต่ถ้าความเห็น หรือ คำสั่งเดิมนั้น เป็นของอธิบดีอยู่แล้ว ให้เสนออัยการสูงสุด หรือ รองอัยการสูงสุด ผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณาสั่งคดี
สำหรับกรณีที่มีการสั่งคดีไปแล้ว แต่จำเลย “ร้องขอความเป็นธรรม” เหมือน” คดีบอส” ที่ได้ร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้ง มีการยกเอาเรื่องความเร็วรถจากสำนวนเดิม 177 กม./ชม. เปลี่ยนมาเป็นไม่เกิน 80 กม./ชม. และจากรายงานพิจารณาศึกษาของ กมธ.กฎหมายฯ สนช. แต่อัยการสูงสุดในขณะนั้น (ร.ต.ต.พงษ์นิวัติ ยุทธภัณฑ์บริภาร) ก็สั่งให้ยุติการพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว … จึงถือว่า คำสั่งฟ้องที่อัยการสั่งไว้ “มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย”
หากยังมีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาอีก อัยการคนใด จะหยิบยกมาพิจารณา สั่งให้สอบสวนเพิ่ม ต้องมีคำสั่งอนุมัติจากอัยการสูงสุดก่อน จึงจะทำได้...ถ้าไปสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่ม โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากอัยการสูงสุดก่อน จึงไม่น่าจะทำได้ และผลที่ตามมาทั้งหลาย รวมทั้ง “คำสั่งไม่ฟ้อง” ก็จะไม่มีผลทางกฎหมาย
ดังนั้น การที่ “เนตร นาคสุข” หยิบเอาคดีของ “บอส” กลับมาพิจารณาอีกครั้ง โดยที่ไม่มีคำสั่งจากอัยการสูงสุดให้รื้อฟื้นได้ … และยังกลับคำสั่งคดีจาก “ฟ้อง” เป็น “ไม่ฟ้อง” จึงมีนัยว่าคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” นี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำสั่งเดิมของอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ที่สั่งฟ้อง “บอส” ย่อมยังมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายอยู่ !!
“อรรถพล ใหญ่สว่าง” เห็นว่าประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าวนี้ จำเป็นที่ “อัยการสูงสุด” ควรหยิบยกมาพิจารณาทบทวน เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และมีผลต่อความเชื่อถือศรัทธาที่ประชาชน มีต่อองค์กรอัยการ
นอกจากนี้ “วิชา มหาคุณ” ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งขึ้น ยังยืนยันว่าได้ประสานไปยัง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ เรื่อง “หมายจับบอส” ได้ถอนไปหรือยัง เพราะมีข่าวว่า หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง ตำรวจก็ได้ไปขอถอนหมายจับ
เรื่องนี้ได้รับคำชี้แจงว่า ตำรวจไปยื่นขอถอนหมายจับจริง แต่ “รสนา โตสิตระกูล” อดีต ส.ว. พร้อมตัวแทนภาคประชาชน ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาล ขออย่าให้มีการถอนหมายจับ ซึ่งศาลก็เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงขอสอบสวนก่อน และ ยืนยัน “หมายจับ” ทายาท กระทิงแดง ยังอยู่
ดังนั้นทั้ง กรณี หนังสือของ ประธานคณะกรรมการอัยการ รวมกับ “หมายจับ” ทายาท กระทิงแดง ที่ยังมีผลตามกฎหมาย ก็พอจะสร้างความมั่นใจต่อ กระบวนการยุติธรรมของไทย ได้ชัดเจน
คนที่กระทำผิด ต้องได้รับโทษ ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะร่ำรวย ล้นฟ้า แค่ไหนก็ตาม !
ลม สลาตัน