มองการเมือง ผ่านสายตา “CIAเมืองไทย” ยัง “มัวเมา และ อับเฉา”

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีต รมต.ต่างประเทศ และ เลขาฯสมช. เจ้าของฉายา “CIA เมืองไทย” ผ่านร้อน ผ่านหนาวสถานการณ์ การเมืองไทยมา ทุกรูปแบบ ตั้งแต่การชุมนุม เล็กๆ จนถึง การระดมมวลชนทั่วเมือง เห็นการรัฐประหาร ยึดอำนาจมากมาย  ในวันนี้ “นต.ประสงค์” พลิกผันตนเองมานั่ง เก้าอี้ ผู้บริหารสื่อ ได้วิเคราะห์ ภาพรวมบ้านเมืองใน ไว้อย่างน่าฟัง

ไม่ว่าใครก็รู้จักปลวก ว่าเป็นสัตว์ที่ชอบแทะกินเสาบ้านและฝาบ้าน แม้กระทั่งกระดาษหนังสือ เป็นอาหาร ทำให้บ้านเมืองที่อยู่อาศัยเสียหาย ต้องหาบริษัทกำจัดปลวกมาช่วยดูแลบ้านเรือนด้วยการใช้ยาฆ่าปลวก และไม่ว่าใครก็รู้จัก “เผด็จการ” ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ที่ชอบกินเมืองที่มีการบริหารปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าเผด็จการที่ว่านี้จะเป็นเผด็จการพลเรือน หรือเผด็จการทหารที่ใช้ปืนเข้ามายึดอำนาจ

บ้านเมืองใดมีการปกครองประชาธิปไตยบ้านเมืองนั้นก็เหมือน “ปลูกต้นไม้ประชาธิปไตย” ขึ้นในบ้านเมืองนั้น เพื่อเป็นร่มเงาในความเป็นอยู่ของผู้คนในบ้านเมืองนั้นอย่างเป็นสุข มีสิทธิเสรีภาพในการทำงานอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน

แต่ในยามที่บ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจของเผด็จการ ยามนั้น “ต้นไม้ประชาธิปไตย” จะเหี่ยวแห้งอับเฉาไม่งอกงามเติบโต เพราะไม่มีการดูแลรักษา มิหนำซ้ำถ้าเป็นต้นไม้ที่มีผลกินได้ เผด็จการก็จะปลิดมากินอีกด้วย เพราะฉะนั้นในบ้านเมืองของเราขณะนี้ภาวการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายใต้อำนาจของเผด็จการ กำลังอยู่ในสภาพที่ “คณะกวีสมานฉันท์” แต่งไว้ดังนี้

“ทุ่งหญ้าป่าไม้เขียว แหล่งท่องเที่ยวก็อับเฉา เหวผาเงียบซึมเซา น้ำตกหลั่งอยู่เดียวดาย

นกน้อยผาดโผนฟ้า หลบหนีหน้าพากันหาย พุ่มหญ้าเหี่ยวแห้งตาย พลิ้วไหวลมคลุกฝุ่นดิน

ทวยราษฎร์วิปโยค ความเศร้าโศกครอบงำสิ้น ยากไร้ไม่มีกิน หฤโหดย้ำราวี”

เป็นคำกลอนที่ดูจะถูกต้องกับสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ถือปืนเข้ามาบริหารบ้านเมือง บริหารจัดการกันเหมือนคนมัวเมาในอำนาจ ความมัวเมาในอำนาจและความบ้าอำนาจเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะความมัวเมาคือความหลง สติฟั่นเฟือน ความบ้า คือ วิกลจริต หลงใหลในสิ่งมีอำนาจจนผิดปกติ ใครก็ตาม ที่มีอำนาจ ใช้อำนาจอย่างมัวเมา หรือใช้อำนาจที่มีอยู่อย่างคนวิกลจริตที่เรียกว่า บ้าอำนาจนั้น นำความเดือดร้อนไปให้คนอื่น หรือสู่ตัวเองได้ทั้งสิ้น ยิ่งมีอำนาจใหญ่โตเท่าไรก็สร้าง หรือทำลายได้มากเท่านั้น

คนประเภทนี้เป็นคนที่ “ต่อมจริยธรรมคุณธรรมบกพร่อง” ถ้าได้อำนาจไปใช้ จะใช้อำนาจนั้นไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องได้ตลอดเวลา เพราะไม่มีจริยธรรมและคุณธรรมเป็นเครื่องกำกับ คนประเภทนี้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ในบ้านเมืองใน 3 ลักษณะ ซึ่งได้แก่ 1) การฉ้อราษฎร์บังหลวง 2) การใช้อำนาจในทางมิชอบ 3) การตักตวงผลประโยชน์แก่ตนเองและพรรคพวก โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคมประเทศชาติ ทั้ง 3 ลักษณะดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นและมีอยู่ในขณะนี้

ขอนำความคิดความเห็นของผู้เคยรับผิดชอบในการทำงานและบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองในงานเสวนาเรื่อง “มองการณ์ไกลประเทศไทย ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทางสังคม และการผูกขาดเศรษฐกิจ” ซึ่งสมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.2561 สรุปได้ว่าทุกอย่างในบ้านเมืองตกต่ำลงไปทุกอย่าง เฉพาะอย่างยิ่งความเหลื่อมล้ำในปีที่ผ่านมาสูงขึ้นกับคนไทย โดยเฉพาะในต่างจังหวัดทุกพื้นที่รายได้หายไปกว่าครึ่ง สะท้อนให้เห็นว่ามีปัญหาในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นคือ

1) เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ตีความกฎหมายในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม 2) นโยบายรัฐต่อการกระจายรายได้ผูกขาด เอื้อผลประโยชน์กลุ่มทุน และมีแต่นโยบายปูพรมอย่างเดียว ซึ่งสร้างปัญหาและไม่มีการแก้ไขการไม่มีนโยบายที่จะไปดูแลกลุ่มด้อยโอกาส รายได้น้อย เกษตรกรทั้งประเทศ สร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น

ทั้งนี้ปัญหาคอร์รัปชั่นมากขึ้น เช่น โครงการไทยนิยม มีการกำหนดงบไว้ก่อน แต่โครงการ คืออะไร สอดคล้องกับกลุ่มที่ต้องการจะช่วยเหลือหรือไม่ จึงมีโอกาสที่จะคอร์รัปชั่นสูง บอกว่าเป็นโครงการส่งเสริม ให้ความรู้และการมีส่วนร่วม งบหมื่นล้าน หากไปดูในเนื้อหา เป็นงบจัดฝึกอบรม แต่ต้องเลี้ยงอาหารทุกคนที่มา หากไม่มีการเลี้ยงอาหาร จะเบิกเงินส่วนอื่นไม่ได้ ไม่มีนโยบายช่วยเหลือ ภาคเกษตรผู้มีรายได้น้อย ที่ผ่านมา ข้าว ข้าวโพด มัน ยาง ปาล์มราคาตก เพราะไม่มีนโยบาย ที่เป็นรูปธรรมที่ยั่งยืน ราคาพืชผลตกในประเทศ แต่ไม่ได้ตกในต่างประเทศ มีแต่ขาใหญ่ได้ประโยชน์ สร้างความเหลื่อมล้ำเอื้อกลุ่มทุน

เอาแค่นี้ก่อนก็พอจะมองเห็นว่าคนมีอำนาจในการบริหารจัดการบ้านเมืองนี้ ทำงานกันอย่างไรในการคืนความสุข ให้ผู้คนที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างบอกช้ำ

ขณะนี้ เพราะ “ทวยราษฎร์ยังวิปโยค” ดังคำกลอนข้างต้นแม้กระทั่ง “ความเศร้าโศกครอบงำสิ้นยากไร้ไม่มีกิน หฤโหดย่ำราวี” อยู่ทั่วหน้าขณะนี้ !