“พิธา” ซัด “รัฐบาล” ไร้วิสัยทัศน์ จัดงบเหมือนประเทศไทยไม่มีวิกฤต ชี้ “บิ๊กตู่” ถลุงงบฯแผ่นดิน ตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ ใช้เงินไปแล้ว 20 ล้านล้านบาท แต่ ได้ประโยชน์กลับมาเพียง 3ล้านล้านบาท ยืนยัน โหวตไม่เห็นชอบ
วันที่ 1 ก.ค. 63 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำทีมส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ที่เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ว่า วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ที่สภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดอนาคตของพี่น้องชาวไทย ด้วยงบประมาณปี 2564 มูลค่า 3.3 ล้านล้านบาท ปี 2564 นอกจากจะเป็นปีที่ประชาชนทุกข์แสนสาหัสแล้ว ยังต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยว่า เป็นปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้งบประมาณแผ่นดินครบ 20 ล้านล้านบาท ตั้งแต่บริหารประเทศมาจากปี 2557 จนถึงปัจจุบัน แต่น่าแปลกใจที่เงินมหาศาลนั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้น้อยมากเพียง 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น
“อย่างที่ผมเคยกล่าวไปว่า การแก้ไขปัญหาประเทศต่อจากนี้ ถ้าเราจะบริหารงบประมาณแบบเดิม แล้วคาดหวังว่า จะได้รับผลลัพธ์ใหม่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าเราจะใส่เม็ดเงินลงไปมากเท่าใดก็ตาม น่าเสียดายที่งบประมาณปี 64 เป็นการจัดงบประมาณเหมือนประเทศไทยไม่มีวิกฤต ไม่ได้ต่างอะไรกับงบปี 63 มากนัก สถานการณ์ประเทศขณะนี้ เดือนมิ.ย.เป็นเดือนสุดท้ายที่ผู้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท โดยที่รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศมาตราการรองรับใดๆ เดือนก.ค.ก็จะเป็นเดือนสุดท้ายที่พี่น้องเกษตรกรกว่า 7 ล้านครัวเรือน รับเงิน 5,000 บาท ส่วนกลุ่มคนเปราะบางไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ กว่า 6.7 ล้านคน จะได้รับเงินเยียวยา 1,000 บาทเป็นเดือนสุดท้ายเช่นเดียวกัน” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า ปัญหาของกลุ่มแรงงานนอกระบบ ที่ใช้ชีวิตกันอย่างไม่มีหลักประกัน และได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งชัดเจนว่ากระทรวงแรงงานนั้นน่าจะต้องเพิ่มขึ้น และมีโครงการที่จะช่วยเหลือให้พี่น้องนอกระบบให้เข้าสู่ระบบ มีหลักประกันในชีวิต มีโครงข่ายทางสังคมรองรับ แต่ต้องขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องด้วย งบประมาณของกระทรวงแรงงานถูกลดลง 3 พันล้านบาท และไม่มีแผนโครงการที่จะช่วยนำพี่น้องเข้าสู่ระบบ สำหรับพี่น้องที่กำลังจะตกงานและต้องหางานใหม่กว่า 8 ล้านคนทั่วประเทศ ในส่วนพี่น้องชาวภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่า ปัญหา PM 2.5 พร้อมกับปัญหาโควิดในช่วงที่ผ่านมา ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย ปีนี้งบประมาณแผนยุทธศาสตร์จัดการมลพิษและสิ่งแวดล้อมแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย ส่วนงบของการแก้ไขปัญหาไฟป่านั้นเพิ่มขึ้น 260 ล้านบาท แต่ตัวชี้วัดไม่ได้เพิ่มขึ้นตามงบประมาณด้วย นั้นก็หมายความว่า มีโอกาสที่พี่น้องชาวภาคเหนือจะต้องทุกข์ทรมาณกับปัญหาเดิมๆ หรืออาจแย่กว่าเดิม
ด้านพี่น้องชาวอีสานที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งพร้อมกับปัญหาโควิด ถึงแม้งบประมาณปีนีกรมชลประทานจะได้งบประมาณมากขึ้นถึง 8,000 ล้าน แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า งบประมาณนั้นจะสะท้อนความรุนแรงของปัญหาน้ำในประเทศ การร่วมศูนย์ของงบประมาณและการเน้นการเยียวยามากกว่าป้องกันปัญหา ไม่ต่างอะไรกับที่ได้อภิปรายไปเมื่อปีที่แล้ว ทั้งนี้ พี่น้องภาคใต้ที่รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปเกือบทั้งหมด ประสบปัญหาราคายางตกต่ำเพราะส่งออกไม่ได้พร้อมกับปัญหาโควิด คิดว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ควรจะมีแผนการการประมาณการที่สะท้อนสถานการณ์จริง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น นี่เป็นตัวอย่างตัวอย่างแสดงให้เห็นว่างบประมาณปีนี้สร้างความหวังหรือทำให้คนสิ้นหวัง ประชาชนก็คงจะเป็นคนที่ตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี
“พี่น้องประชาชนที่เคยหวังพึ่งระบบ AI ของรัฐบาล และทุลักทุเลกับการขอเงินเยียวยา 5,000 บาท สามัญสำนึกก็บอกผมว่าน่าจะมีงบประมาณอะไรสักอย่างที่จะมาต่อยอดจาก “เราไม่ทิ้งกัน” ทำ Digital Wallet หรือ Smart ID Card ที่ทำให้รัฐบาลสามารถแก้ปัญหานี้ได้ดีกว่าเดิม ทั่วถึงกว่าเดิม รวดเร็วกว่าเดิม ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้รัฐต้องปิดเมืองอีกครั้งหนึ่ง แต่ผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ไม่มีงบประมาณ โครงการ เหล่านี้อยู่ในงบปี 64 หรือถ้ามีก็ไม่รู้ว่าตัวชี้วัดคืออะไร” นายพิธา กล่าว