ประธาน นปช.ถามนายกฯ เอาไงทีมศก. ชี้ภาวะปท.ไม่ปกติ ควรตัดสินใจพึ่บพั่บ-เด็ดขาด ให้ชัดเจน “ตั้งทีมใหม่หรือใช้คนเก่าทำงาน” ติงยิ่งลังเลทำขาดเชื่อมั่น กระทบศก.ฟุบกับฟุบ แนะให้รีบทำ ชักช้าก่อเสียหายมากกว่า
วันที่ 13 มิ.ย.63 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์ PEACETALK วานนี้ (12 มิ.ย.) ถึงการยกเลิกเคอร์ฟิว ตามมติของ ศบค.ชุดเล็ก ซึ่งมีผลตั้งแต่ 15 มิ.ย.นี้ ตนเห็นว่า ความจริงเป็นแค่เปิดให้เดินทางไปไหนได้ 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่สภาพอย่างอื่นยังต้องกังวลกันอยู่ เพราะการเลิกเคอร์ฟิวไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น มีแต่ทรุดกับทรุด และจะได้กลับมาอยู่กันตามเดิมยังไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไร อีกทั้งเมื่อมีการผ่อนคลายแล้ว คาดไม่นานธุรกิจจะทยอยพังกันไปเป็นทอดๆ เช่นกับการผ่อนปรนธุรกิจอื่นก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ พรรคการเมืองแต่ละพรรคต่างมีสภาพย่อยยับตามๆ กัน เกิดความแตกแยกอย่างไม่คาดคิด ราวกับจะเกิดการยุบสภาให้มีเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตนยืนยันว่า การเลือกตั้งคงไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ อย่างแน่นอน “การเปลี่ยนแปลงของพรรคการเมืองต่างๆ นั้น ดูเหมือนจะเกิดยุบสภา มีการเลือกตั้งไม่กี่วันข้างหน้า ตนเห็นว่า ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้นเลย เพียงแต่พรรคการเมืองในสถานการณ์รุมเร้าต่างเกิดความเร่งรีบ และลำบากเหมือนกันหมด”
สิ่งสำคัญในขณะนี้ ตนยังยืนยันต่อพรรคการเมืองต่างๆ ว่า ควรระดมความคิดให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศไทย เพราะตั้งแต่เดือนหน้าไป (ก.ค.) ประเทศจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เคยเผชิญ รวมทั้งไม่แน่ใจว่างบประมาณเยียวยาจะเหลือเท่าใด แต่หลังจากการเยียวยาสิ้นสุดลงในเดือน มิ.ย.แล้ว อาจมีความระส่ำระสาย เกิดอาชญากรรมหนักขึ้น ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงวิกฤตกันไม่พ้น
“วันนี้อยากให้มองไกลให้พ้นจากผลประโยชน์ส่วนตัว ถ้ามองใกล้ก็เห็นผลประโยชน์เฉพาะตัว ไม่สามารถเอาชาติบ้านเมืองรอดไปได้เลย แม้มีคนจำนวนน้อยจะรอด แต่คนส่วนมากจะไม่รอดเลย แล้วจะเกิดความโกลาหล ดังนั้น เราควรพูดความจริงกับประชาชนมากกว่าการสรรเสริญเยินยอทั้งหลาย เพราะในโลกความจริงมีความหายนะรออยู่ข้างหน้า”
นายจตุพร ย้ำว่า สิ่งสำคัญคือ ในยุคปัจจุบันนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งวิกฤตจะลามไปหมด เมื่อเศรษฐกิจพังก็ลุกลามมาเป็นปัญหาสังคม แล้วกระทบถึงการเมือง สถานการณ์เช่นนี้จึงน่าวิตก ตนอยู่กับการชุมนุมเมื่อปี 2535 และ ปี 2553 ช่วงนั้นเศรษฐกิจยังไม่พัง แต่ในขณะนี้เศรษฐกิจพัง แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งแน่การชุมนุมต่อไปจะไม่ใช่ม็อบการเมือง และไม่มีแกนนำการชุมนุมอีกด้วย
“เคยถามกันมาว่า รัฐบาลมีเงินในกระเป๋าเท่าไร ขอให้พูดความจริงกันมา เพราะสิ้นเดือน มิ.ย.นี้เงินกู้กว่า 5.5 แสนล้านบาท รวมกับงบประมาณที่โยกมานั้น เหลืออยู่ในกระเป๋าเท่าไร จะได้คิดอ่านกัน และจะได้บอกความจริงกับประชาชนว่า จะต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง เพื่อจะได้วางแผนชีวิตที่จะฝ่าวิกฤตทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมกัน”
นายจตุพร กล่าวอีกว่า แม้เลิกเคอร์ฟิว ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้น หรือยังใช้อยู่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเช่นกัน แต่ภาวะเศรษฐกิจยังมีแต่ฟุบกับฟุบ หาจุดฟื้นยังไม่เห็น และที่ธุรกิจที่ผ่อนปรนกันมาแล้ว มีกี่แห่งที่มีสภาพดีกันเพราะความจริงคือ คนไม่มีกำลังซื้อกัน สำหรับแม้ทีมเศรษฐกิจใหม่ จะมาวันไหน โดยใครก็จะต้องรับภาระอย่างสาหัส แต่คนเก่าสภาพจิตใจไม่รู้มีกันขนาดไหน อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้คนเก่าทำต่อควรพูดกันให้ชัด ถ้าไม่ให้ทำก็รีบอาคนใหม่มา
“รอยต่อสำคัญระหว่างคนเก่าและรอคนใหม่ คือ คนเก่าไม่มีสภาพอะไรเหลือแล้ว เพราะรู้ว่าตัวเองต้องไป และสถานการณ์ของประเทศขณะนี้ ผมว่าควรจะตัดสินใจให้เด็ดขาด พึ่บพั่บ ถ้าเกิดอาการอีหลักอีเหลื่อ อารมณ์มันไม่ได้และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ”
นายจตุพร เรียกร้องว่า รัฐบาลจะตัดสินใจทำอะไรก็รีบทำ จะได้เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่า ถ้าไม่ทันสถานการณ์จะเกิดความเสียหายมากมาย “ถึงที่สุดแล้วปัญหาของชาติต้องมองกันไกล ต้องยอมรับความจริง ให้พูดความจริงกับประชาชน จะตัดสินใจทำอะไรก็รีบทำ เดี๋ยวจะไม่สอดคล้องกับปัญหาที่แท้จริงที่ดำรงอยู่ในขณะนี้”