“อุตตม” แจง! สภาฯ พ.ร.ก.กู้เงินฯ มุ่ง พยุง ศก.ชาติ ปัดอุ้ม นายทุน

รมว.คลัง ยืนยันเจตนารมณ์ พ.ร.ก.กู้เงินพยุงเศรษฐกิจ รักษาเอสเอ็มอี ไม่ได้อุ้มนายทุนรายใหญ่บางกลุ่ม แต่เน้นประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก ช่วยให้ปรับตัวสู่ new normal

นายอุตตม สาวนายน รมว. คลัง ชี้แจงถึงการอภิปรายของนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ต่อการมาตรการแก้ปัญหาสถานการณ์ระบาดไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่ต้องการ ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จึงได้จัดการด้านสาธารณสุขเป็นอันดับแรก และที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปได้ดี ส่วนด้านเศรษฐกิจมุ่งเน้นเรื่องการเยียวยา แก้ปัญหาขาดสภาพคล่องสำหรับประชาชน โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการ SMEs โดยมีมาตรการต่างๆออกมาจำนวนมาก และในส่วนของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
วันนี้รัฐบาลได้เริ่มดำเนินการ ให้มีความต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการรายเล็กให้ก้าวสู่เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่จะมาถึง ซึ่งไม่ใช่แค่การเอาเงินเยียวยาให้ประชาชนเท่านั้น แต่ได้กำหนดแนวทางฟื้นฟู สอดรับกับแผนพัฒนาประเทศยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติ จำเป็นต้องมีตัวเงินใส่เข้าไปในแผนฟื้นฟู เศรษฐกิจรูปแบบใหม่หรือ New Normal กับภาคส่วนต่างๆ เช่นการเสริมทักษะสร้างงาน สร้างบุคลากร เน้นในพื้นที่ระดับชุมชนเป็นหลักโดย มีพรก.เงินกู้เพื่อการเยียวยา 4 แสนล้านบาท มาสอดรับกับสิ่งเหล่านี้
“การดำเนินมาตรการเยียวยาเราพยายามให้ตรงเป้าหมายที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องความเร่งด่วนที่จะต้องเข้าไปดูแลอย่างรวดเร็ว ภายใต้ระบบของประเทศที่มีอยู่ และข้อมูลที่มี หลายอย่างเราอยากทำให้เร็วกว่านี้แต่ก็จำเป็นต้องเยียวยาให้ถูกคน และใช้งบประมาณอย่างรัดกุมคุ้มค่าเพราะเป็นเงินของชาติ จึงจำต้องใช้เวลา แต่เมื่อดำเนินการไปก็มีการปรับปรุง และรับฟังคำติชม ทักท้วงและปรับจนสามารถดำเนินการอย่างที่ได้เห็นผลแล้วในวันนี้สำหรับการดูแลกลุ่มต่างๆด้วยกลไกและมาตรการที่มีอยู่”
ส่วนประเด็นการกู้เงินและการบริหารจัดการภาระหนี้ของประเทศ ขอชี้แจงว่า กระทรวงการคลังโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มีแผนการระดับสากล โดยจะใช้ตราสารการเงินในรูปแบบที่ดี เพื่อกระจายความเสี่ยง เพิ่มความสมดุลย์ ไม่กระทบส่วนใดของตลาดเงินมากเกินไป มีการออกพันธบัตรรัฐบาล และพัมธบัตรออมทรัพย์ โดยให้ประชนได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาโควิดครั้งนี้ ผ่านการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ ปิดโอกาสให้ประชาชนลงทุน ในภาวะนี้ที่ดอกเบี้ยธนาคารต่ำ ประชาชนสามารถเข้าถึงได้เพราะกำหนดซื้อได้อย่างต่ำ1 พันบาท ไม่เกินคนละ 2 ล้านบาท กระจายไปถึงประชาชนรายย่อย
ส่วนการกู้ระยะสั้น ผ่าน ตั๋วเงินคลัง สัญญาใช้เงินต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมามีการกู้ไปแล้ว 1.7 แสนล้านบาท ต้นทุนเฉลี่ย อยู่ที่ร้อยละ 1.5 เป็นอัตราที่สอดคล้องกับภาวะตลาดเงิน ตลาดทุนในปัจจุบัน ส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2555 อัตราส่วนอยู่ที่ร้อยละ 40 แต่เราจำเป็นต้องกู้ เพื่อมาสู้กับโควิดได้ ทำให้อัตราส่วนต้องสูงขึ้นแต่ไม่เกินร้อยละ40
สำหรับประเด็นข้อกฎหมาย ที่ว่า พ.ร.ก. บีเอสเอฟ ฉบับที่ 3 ให้อำนาจรมว. คลังมากเกินควร ขอเรียนว่าไม่ได้ให้อำนาจเกินควร เพราะในมาตรา 5 แม้จะให้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเพื่อให้การดำเนินการตามพ.ร.ก.ความสามารถดำเนินการได้โดยไม่เกิดอุปสรรคและความเสียหายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งไม่อาจปล่อยให้เนิ่นนานล่าช้าในภาวะเช่นนี้ อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจของรัฐมนตรี ยังต้องอยู่ภายใต้หลักของการสุจริตโปร่งใส
ส่วนมาตรา19 วรรคหนึ่งที่มองว่าการกำหนดให้ธปท.โดยความเห็นชอบของรมว. คลังมีอำนาจซื้อขายตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ไม่ใช่ตราสารหนี้ออกใหม่นั้น เป็นการให้อำนาจรัฐมนตรีที่ขัดต่อมาตรา 77 วรรค 3 ของรัฐธรรมนูญ ขอชี้แจงว่ามาตรา 19 วรรคหนึ่ง มีการกำหนดเงื่อนไขในการใช้ดุลพินิจไว้ 2 เงื่อนไข คือ 1 .ต้องเป็นกรณีที่ตราสารหนี้ประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างร้ายแรงอันเนื่องมาจากโควิด19 และ2.มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินโดยรวม ถือเป็นกรณีที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของธปท.และรมว. คลังไว้แล้ว
และยังกำหนดให้มีผู้พิจารณา2 ขั้นตอน เพื่อความรอบคอบโดยผ่านการพิจารณาของธปท.และรมว.คลัง ส่วนเรื่องระยะเวลาการใช้ดุลพินิจ เนื่องจากเป็นกรณีเร่งด่วน ซึ่งเป็นเงื่อนไขหลักของการพิจารณาของธปท.และรมว. คลัง จึงจำเป็นต้องดำเนินการให้บริการในภาวะเช่นนี้ จึงยืนยันว่าบทบัญญัติมาตรา 19 ของพรก.นี้ไม่ได้ต่อมาตรา 77 วรรค 3แต่อย่างใด
“ผมขอยืนยันว่ากองทุนบีเอสเอฟไม่ได้อุ้มบริษัทใหญ่หรือบริษัทที่ออกตราสารใด แต่มีความจำเป็นจริงที่เราต้องดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ออกหุ้นกู้เท่านั้นไม่ว่าขนาดแค่ไหน แต่สำคัญคือเกี่ยวข้องกับประชาชนที่ถือตราสารหนี้ที่มีจำนวนมากในปัจจุบัน การดำเนินการของกองทุนดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในกลไกการรักษามูลค่าเงินออม และเงินทุนของประชาชน และเป็นการช่วยเหลือผู้ออกหุ้นกู้โดยคิดดอกเบี้ยแพงเป็นพิเศษหากเทียบกับพรบ.ฉบับที่ 2 หรือซอฟท์โลนช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME s ที่ให้ดอกเบี้ยถูกเป็น แต่ฉบับที่3 จะให้ดอกเบี้ยแพงเป็นพิเศษถึงจะได้รับความช่วยเหลือ”นายอุตมมกล่าว