“จตุพร” จี้ “ลุงตู่” ใช้งบฯ 1ล้านล้าน โปร่งใส เตือน ลั่น ถ้าพบโกง โดนฮือไล่แน่

ประธาน นปช. เตือน เงินยืม 1 ล้านล้าน ต้องใช้โปร่งใส หวั่น งบฟื้น ศก. 4 แสนล้าน ก่อทุจริต เตือนรัฐ งาบโกงเงินกู้ ยามคนยากจน ปากท้องหิวโหย ถูกฮือขับไล่แน่ พร้อมห่วงเยียวยาสิ้น มิ.ย. ถามชีวิตหลัง ก.ค.จะอยู่อย่างไร เชื่อ วิกฤต ปท.จ่อรอในอนาคต 
วันที่ 29 พ.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊คไลฟ์รายการ PEACE TALK โดยเรียกร้องให้รัฐบาลใช้จ่ายเงินกู้ยืม 1 ล้านล้านบาทด้วยความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ พร้อมเตือนว่า หากเกิดการทุจริตมาซ้ำเติมปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว รัฐบาลอาจต้องถูกขับไล่ทันที โดยระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ลุกลามไปผูกพันกับเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากมีเงินกู้ที่คนไทยต้องแบกภาระใช้หนี้ผ่านการจ่ายภาษี ดังนั้นการอภิปราย พรก.การเงิน 3 ฉบับในสภา โดยเฉพาะการกู้ 1 ล้านล้านบาท ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลต่างห่วงใย โดยกังวลกับการใช้จ่ายเงิน 4 แสนล้านที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นเศรษฐกิจว่า จะมีมาตรการตรวจสอบอย่างไร
ฝ่ายรัฐบาลบางคนเสนอให้มี กมธ.วิสามัญตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อประชาชนได้ตรวจสอบอีกครั้ง มุ่งหวังให้การใช้จ่ายเงินยืมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระมัดระวังการใช้จ่ายแบบวิธีพิเศษให้เกิดความโปร่งใส รวมทั้ง นายจตุพร เชื่อว่า ประเทศไทยไม่ได้หยุดการกู้เงินแค่ 1 ล้านล้านบาทเท่านั้น โดยจะต้องมีการกู้เงินอีกครั้งมาโปะงบประมาณรายจ่ายขาดดุลปี 2564 อีก รัฐบาลจึงต้องกู้และคงกู้มากกว่าเดิมด้วย “หลังจากเยียวยาเสร็จสิ้นใน มิ.ย. จะเกิดอะไรขึ้น หากพิจารณาสถานการณ์แล้วพบว่า เมื่อ เม.ย. คนเข้าแถวยาวรอรับสิ่งของแจกจ่าย พอถึง พ.ค.ตู้ปันสุขแทบระเบิด แล้วมา มิ.ย.เดือนสั่งลาการเยียวยา ไม่รู้มีคนตกหล่นเท่าไร ถ้าเข้าถึง ก.ค. ประเทศไทยจะอยู่ในลักษณะไหน”
อย่างไรก็ตาม มีความเข้าใจว่า เงิน 4 แสนล้านที่รัฐบาลกำหนดมาตรการไว้นั้นจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจ แต่สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในสภาพยากลำบาก อีกทั้งยังมีหนี้เงินยืมมากกว่าในช่วงวิกฤตปี 2540 ถ้าเงินกู้ถูกใช้อย่างเต็มที่ ด้วยความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ประชาชนจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่เริ่มปรากฎการทุจริตขึ้น จากข่าวเก็บค่าหัวคิวโรงแรมใช้เป็นสถานที่กักกันเชื่อโควิด-19 ของคนมาจากต่างประเทศกันแล้ว ซึ่งมีความเป็นห่วงอย่างยิ่ง
              
“เงินนี้เงินยืมนะ ไม่ใช่สมบัติพินัยกรรม ที่จะไปถลุงกันได้ แล้วยังจะไปกู้ก้อนใหม่กันอีกมาโปะงบขาดดุลปี 2564 อีกทั้งสภาพประเทศไทยเร้นแค้น สิ่งที่วิตกกันมากคือ อาการของคนไทยผจญกับฉกชิงวิ่งราว ฆ่าตัวตาย ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อนกับปัญหาที่เกิดจากความยากจน ดังนั้นมาตรการต่างๆที่จะลงไปนั้น ต้องเกิดผล และต้องทำให้เศรษฐกิจ- สังคมฟื้นขึ้นมา ถ้าเกิดการทุจริตก็ไปทันที คนจะไม่ทนแล้วกับความหิว ถ้ามีการยึดอำนาจเพื่อจัดการความหิวนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเป็นความน่าห่วงใยทั้งสิ้น”
“ดังนั้น วิกฤตที่รออยู่ข้างหน้าจะนำพาสู่ความสูญเสียที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า จะจบลงอย่างไร เพราะปรากฎการณ์คนแย่งอาหารกันนั้นเพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก ทั้งที่ช่วงเยียวยายังแย่งกันหนักขนาดนั้น เมื่อหมดเงินเยียวยาแล้วจะเป็นไงเศรษฐกิจประเทศชาติจะดีอย่างไง อธิบายฟังกันไม่ขึ้นเลย หาคำตอบไม่ได้”
นายจตุพร ย้ำว่า เมื่อบ้านเมืองไม่อยู่ในสภาพปกติ ซ้ำร้ายกติกาตาม รธน. 2560 ยิ่งซ้ำเติมให้เกิดวิกฤตหนักขึ้น หากเงิน 4 แสนล้านบาทถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลถึงการเปลี่ยนแปลงที่สุด อย่างน้อยต้องไม่เห็นปรากฎการณ์คนแย่งอาหารและเกิดความโกลาหล ส่วนการลงทุนโครงการต่างๆที่ไม่จำเป็นในปีงบประมาณ 2564 ควรหยุดไว้ก่อน และต้องคิดการใช้จ่ายเงินให้สอดคล้องกับวิกฤตของชาติ
ดังนั้น ต้องระดมความคิดคนในชาติ ไม่มีฝ่ายเขาหรือฝ่ายเรา เพื่อหาทางออกรองรับวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลัง มิ.ย. ซึ่งจะหนักอย่างมาก และถ้ารัฐใช้จ่ายเงินกู้อย่างไม่โปร่งใส ไร้ประสิทธิภาพ พร้อมเกิดการทุจริตขึ้นเมื่อใดแล้ว ขอพยากรณ์ได้เลยว่า รัฐบาลไปทันที แต่ถ้ารัฐบาลใช้จ่ายอย่างซื่อสัตย์แล้ว เชื่อว่าประชาชนจะทนได้ แม้มีความเจ็บปวดก็ตาม
ส่วนการลดเวลาเคอร์ฟิวลงเป็นมาบังคับตั้งแต่ห้าทุ่มถึงตีสามนั้น นายจตุพร ถามว่า ช่วยตอบหน่อยการลดเวลาจากตีสี่เป็นตีสามนั้นช่วยผ่อนคลายอะไรได้ หรือโควิดจะแพร่ระบาดช่วงห้าทุ่มถึงตีสาม ซึ่งไร้เหตุผล ไม่มีหลักการแพทย์อะไรมารองรับเลย “ผมว่าลดเวลาจากตีสี่เป็นตีสามนั้น ไม่ให้ยังดีกว่า เพราะให้แล้วประชาชนไม่ได้อะไรเลย อธิบายอะไรไม่ได้จริงๆ และผมเชื่อว่าเคอร์ฟิวยังจะมีขยายอีกในเดือน ก.ค.เพื่อรองรับเฟสที่ 4” นายจตุพร กล่าว และว่า ช่วงนี้ไม่ควรมีเคอร์ฟิว เพราะไม่มีความจำเป็น นายกรัฐมนตรีควรทบทวนอย่างยิ่ง หรือว่าโควิด-19 มีพลังพลานุภาพหลังห้าทุ่ม หรือยิ่งใกล้ตีสามการแพร่ระบาดจะยิ่งแรงที่สุด