รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาตรการแซงก์ชันโดยฝ่ายเดียวทั้งกับเวเนซุเอลาและอิหร่าน เพื่อยุติการส่งออกน้ำมันดิบของสองประเทศนี้ เมื่อต้นเดือนเมษายน กองทัพสหรัฐกล่าวไว้ว่า สหรัฐเพิ่มการเฝ้าระวังและได้ส่งเรือรบหลายลำไปวางกำลังในทะเลใกล้กับเวเนซุเอลา เนื่องจากพื้นที่นั้นมีการก่ออาชญากรรมมากขึ้น เวเนซุเอลาเป็นประเทศที่มีน้ำมันดิบสำรองมากที่สุดในโลก แต่ไม่มีศักยภาพเพียงพอในการกลั่นน้ำมัน เนื่องจากขาดแคลนการลงทุนมานานหลายปี สภาพเศรษฐกิจที่พังครืนทำให้ประเทศนี้ขาดแคลนเชื้อเพลิงอย่างรุนแรง
ข่าวรอยเตอร์กล่าวว่า เรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่าน 5 ลำ ซึ่งได้แก่เรือฟอร์จูน, ฟอเรสต์, เพทูเนีย, แฟกซัน และคลาเวล กำลังนำน้ำมันเชื้อเพลิง 1.5 ล้านบาร์เรลมาส่งให้เวเนซุเอลา โดยเรือทั้ง5ลำ แล่นผ่านคลองสุเอซช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม และคาดว่าจะมาถึงเวเนซุเอลาระหว่างปลายเดือนนี้ถึงต้นเดือนหน้า วลาดิมีร์ ปาดริโน โลเปซ รัฐมนตรีกลาโหมของเวเนซุเอลา แถลงทางโทรทัศน์เมื่อวันพุธว่า เมื่อเรือของอิหร่านเหล่านี้เข้าสู่เขตเศรษฐกิจจำเพาะในรัศมี 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง เรือรบและเครื่องบินรบของเวเนซุเอลาจะออกไป “ต้อนรับ”
สถานการณ์ระหว่างสหรัฐกับเวเนซุเอลายังอยู่ในภาวะตึงเครียดสูง หลังจากเวเนซุเอลาอ้างว่าสามารถขัดขวางแผนยกพลขึ้นบกของทหารรับจ้าง 52 คน ที่บริษัทรับจ้างรักษาความปลอดภัยเอกชนของสหรัฐเป็นผู้จัดหาเพื่อดำเนินแผนยึดอำนาจโค่นประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร โดยได้สังหารทหารรับจ้างกลุ่มนี้ไปหลายคน และจับกุมอีกหลายคน รวมถึงคนอเมริกัน 2 ราย มาดูโรกล่าวโทษรัฐบาลสหรัฐและไกวโดว่าอยู่เบื้องหลัง ในคำเตือนถึงกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ไกวโดกล่าวว่า รัฐบาลมาดูโรใช้ “ทองคำเลือด” ที่ได้จากการทำเหมืองผิดกฎหมายในภาคใต้ของประเทศมาจ่ายค่าน้ำมันให้อิหร่าน พร้อมระบุว่า การที่อิหร่านเข้ามายังแผ่นดินเวเนซุเอลาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสมัชชาแห่งชาติ ซึ่งฝ่ายค้านคุมอยู่นั้น เป็นเรื่อง “น่ากังวลมาก”.