โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เปิดใจ ครบรอบ 10ปี สลาย นปช. ชุมนุม เผย ยังจำติดตา สมรภูมิเลือด ราชประสงค์ ทหาร เข่นฆ่า ปชช. ยอมรับ ถูก “ทักษิณ” จ้าง เป็น “กุนซือ” นปช.
วันที่ 20 พ.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม อดีตทนายความ ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์ เปิดใจ ในวาระครบรอบ 10ปี สลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ที่ แยกราชประสงค์ จนมีผู้เสียชีวิต 99 ศพ โดยยอรับว่า ทักษิณ ได้จ้างเขาให้เป็น ทนายความ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา กลุ่ม นปช. โดย อัมสเตอร์ดัม ระบุว่า
ในระหว่างช่วงปลายเดือนเม.ย. ถึงต้นเดือนพ.ค. 2553 ผมอยู่หลังซุ้มกีดขวางในถนนที่กรุงเทพฯ ร่วมกับ ผู้ประท้วงเสื้อแดง ซึ่งเป็นเวลาผ่านมาทั้งหมด 66 วันแล้วที่กลุ่มชุมนุมปิดยึดพื้นที่ในส่วนกลางของกรุงเทพฯ และเป็นที่สนใจไปทั่วโลก
ผมได้ไปอยู่ในจุดนั้น เนื่องจากถูกส่งไปโดยอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นลูกค้าของผม ผู้ที่จ้างวานให้สำนักงานกฎหมายของผมคอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายกับกลุ่มนปช. รวมถึงวานให้ช่วยเหลือหาหนทางด้านกฎหมายเพื่อจะปลดล็อกรัฐบาล เนื่องจากขณะนั้นประเทศกำลังตกอยู่ในกำมือรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรม เข้ามาอยู่ในตำแหน่งโดยการร่วมมือกับศาลเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกของประชาชน
ในช่วงเวลาสำคัญนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ดุเดือดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะฝูงควันจากการยิงปืน รวมถึงเสียงปืน ดังลั่นตลอดทั้งคืน ผมยังจำทุกอย่างได้ดี ผมอยู่ไม่ไกล เลยจากบริเวณที่มีพลทหารซุ่มยิงเสธ.แดง ในขณะที่เขากำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าวจากนิวยอร์ก ไทม์อยู่ พวกทหารฆ่าช่างภาพจากสำนักข่าวรอยเตอร์ นาย ฟาบิโอ โพเลนกี้ อย่างเลือดเย็น และทหารยังฆ่าเด็กที่ไม่มีอาวุธ พยาบาล แม้กระทั่งคนที่หลบภัยอยู่ในวัด
พวกเราได้รับการแจ้งมาอย่างดีว่า รัฐบาลในขณะนั้นจะไม่ใช้ความรุนแรงกับเรา พร้อมสัญญาว่าหลังจากเหตุการณ์ประท้วงจบลง จะให้มีการจัดการเลือกตั้ง ทั้งหมดนี้โดยเพิกเฉยและไร้การตอบกลับจากรัฐบาล ทุกอย่างมันชัดเจนว่า มันไม่ใช่แค่การจะสลายการชุมนุม แต่มันคือการใช้ความรุนแรงกดปราบกลุ่มผู้ชุมนุมและเป็นการก่อการร้ายต่อประชาชนไทยโดยรัฐบาลเสียเอง
การปราบล้างจบลงวันที่ 19 เม.ย. โดยกลุ่มชายชุดดำใช้ปืนยาวซุ่มยิงมาจากบริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมกับมีรถถังและรถติดอาวุธเคลื่อนมายังบริเวณที่มีตั้งซุ้มปิดล้อม ผมโชคดีที่หลบหนีไปฮ่องกงได้ทัน
แต่มีอีกหลายคนที่โชคร้ายในวันนั้น มากกว่า 98 คน โดนสังหารด้วยน้ำมือของกองทหารไทย และมากกว่า 2 พันคนได้รับบาดเจ็บจากปฏิบัติการสลายการชุมนุมนองเลือดนี้ โดยคำสั่งคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ขณะนั้น และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้สั่งงานปฏิบัติการทางทหารที่กลายมาเป็นคนทำรัฐประหารต่อมา
การปราบล้างจบลงวันที่ 19 เม.ย. โดยกลุ่มชายชุดดำใช้ปืนยาวซุ่มยิงมาจากบริเวณรางรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมกับมีรถถังและรถติดอาวุธเคลื่อนมายังบริเวณที่มีตั้งซุ้มปิดล้อม ผมโชคดีที่หลบหนีไปฮ่องกงได้ทัน
แต่มีอีกหลายคนที่โชคร้ายในวันนั้น มากกว่า 98 คน โดนสังหารด้วยน้ำมือของกองทหารไทย และมากกว่า 2 พันคนได้รับบาดเจ็บจากปฏิบัติการสลายการชุมนุมนองเลือดนี้ โดยคำสั่งคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ขณะนั้น และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้สั่งงานปฏิบัติการทางทหารที่กลายมาเป็นคนทำรัฐประหารต่อมา
หลายครอบครัวต้องโศกเศร้ากับการตายของคนในครอบครัวที่ถูกทหารไทยพรากชีวิตไป แต่ทหารผู้เป็นคนฆ่าไม่มีใครถูกดำเนินคดี ความเจ็บปวดของครอบครัวเหยื่อและความทรงจำของพวกเขาไม่ได้หายไป แต่คนที่สั่งฆ่า คนที่สนับสนุนและคนที่ได้ผลประโยชน์จากการฆ่าคนในครั้งนี้ยังลอยนวล สังคมการเมืองไทยยังมีอะไรให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้อีกมากมาย เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และมันพิสูจน์ให้เห็นว่า มีคนหลายกลุ่มพร้อมปล่อยให้ระบอบประชาธิปไตยถูกทำลายลงไป
หากคุณมองกลับไปถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยในตอนที่เราได้รับผลกระทบจากนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งทำให้ไทยแบ่งแยกเป็น 2 ฝักฝ่าย จากการปราบปรามการประท้วงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2516 ปี 2519 และ ปี 2536 แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ จากนโยบายของประธานาธิบดีโอบามา ที่หันกลับมาให้ความสนใจในเอเชีย เราจะเห็นได้ว่าสื่อต่างประเทศไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรายงานข่าวรัฐประหารปี 2549 และปี 2552 เลย ยิ่งกว่านั้นการสังหารหมู่ปี 2553 ก็ไม่มี ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นการให้ความชอบธรรมและเข้าข้างกับฝ่ายเผด็จการ ทำไมเขาถึงได้คาดการณ์อะไรผิดๆ แบบนั้น
ข้อสรุปในความผิดพลาดครั้งนี้ คือการสูญเสียชีวิตผู้คน สูญเสียอาชีพ การถูกจับเข้าคุกและการสูญเสียสิทธิทางการเมืองของคนเป็นล้าน นำมาซึ่งการไร้สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ ในวันนี้ 10 ปีที่แล้วหลังจากการสังหารหมู่ เรายังต้องทำหน้าที่เพื่อระลึกถึงความสูญเสียต่อไป มันถือเป็นความรับผิดชอบของพวกเราที่จะเตือนพวกมีอำนาจให้รู้ว่า คนต้องไม่ตายฟรีและการกระทำของพวกทหารป่าเถื่อนจะถูกจดจำต่อไป อนาคตอยู่ในกำมือคนรุ่นใหม่ และเราหวังว่าความจริงนี้จะถูกเปิดเผยมากยิ่งขึ้นในอนาคต