สาธารณสุข แจงกรณีเสียชีวิตบนรถไฟ สาเหตุจากอาการทางหัวใจ และพบเบาหวานที่คุมไม่ได้ ไม่ได้เสียชีวิตจากโควิด ระบุการตายจากโควิดต้องใช้เวลา กว่าเชื้อจะลงปอด ทำลายเนื้อปอด ต้องนอนเหนื่อยหอบ จึงไม่ได้ตายเฉียบพลัน แต่พบมีเชื้อโควิด-19 ไม่มีไข้ขณะผ่านด่าน
วันที่ 2 เม.ย. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีชายที่เสียชีวิตเฉียบพลันบนรถไฟหลังเดินทางกลับจากปากีสถานว่า เป็นกรณีหนึ่งของการเดินทางจากต่างประเทศที่มีรายงานการระบาดของโรค ถ้าให้ข้อมูลความเป็นจริงการเจ็บป่วยได้ จะทำให้ได้รับการตรวจคัดกรองวินิจฉัยเร็วขึ้น แต่รายนี้วัดอุณหภูมิที่สนามบินได้ 35.1 องศาเซลเซียส คือไม่มีไข้เวลานั้น ส่วนประวัติเจ็บป่วย พบว่าเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน ไม่ได้เสียจากโรคทางเดินหายใจ จึงไม่ใช่การตายจากโรคโควิด-19 แบบเฉียบพลัน เพราะไม่มีไข้ ไอไม่มาก ยังเดินด้วยตัวเองไปซื้อตั๋วรถไฟ และเดินทางได้ แต่ระหว่างทางพบว่า เสียชีวิตแล้ว แต่ไม่ได้แสดงอาการเหนื่อยหอบแล้วเสียชีวิตตรงจุดนั้น
ด้านนพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะแพทย์ดูแลคนไข้ จะเห็นว่าสามเดือนกว่าที่ผ่านมา ข้อมูลความเจ็บป่วยได้มากขึ้น ถ้าคนป่วยโรคนี้วันที่ 1 จะมีไข้อยู่ครึ่งหนึ่ง คือ อุณหภูมิ 37.5 องศา อีกครึ่งหนึ่งไม่มีไข้ แต่ตามไป 2-3 วัน ไข้จะขึ้นถึง 96% จะตรวจเรื่องไข้ได้ อาการหวัดจะชัดเจนขึ้น
ส่วนรายเสียชีวิตนี้ ประเด็นคือบินมาผ่านด่านหมดเลย แสดงว่าอาจจะไม่มีไข้จริงๆ หลังจากนั้นไปซื้อตั๋วขึ้นรถไฟ ขณะบนรถไฟมีอาการไอ แต่ไม่ได้ไอตลอดเวลา ไอนิดหน่อย ระหว่างทางก็มีอาการอาเจียนและเริ่มเหนื่อย อาการเหล่านี้มักบ่งบอกว่าจะไม่ใช่ปอด หรือเกี่ยวกับปอด แต่ไม่ใช่เป็นหลัก เพราะการปุบปับเสียชีวิตจะเดินอย่างนี้ไม่ได้ ต้องนอนเหนื่อยหอบ
“คนไข้คนนี้หลังเสียชีวิตมีการตรวจเชื้อก็พบเชื้อในปริมาณที่ค่อนข้างสูงด้วย และมีอาการค่อนข้างเฉียบพลันมาก อาการเหล่านี้เหมือนกับว่าเป็นโรคเกี่ยวกับทางหัวใจ คนนี้มีประวัติเบาหวานที่ต้องฉีดยาคุมระดับน้ำตาล แสดงว่าอาการค่อนข้างเยอะ ซึ่งการคุมน้ำตาลไม่ค่อยดี สวิงไปมาก็เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตค่อนข้างเฉียบพลันได้ เท่าที่อ่านรายงานเสียชีวิตโควิดต้องใช้เวลาหลายวัน กว่าจะลงปอด ทำลายเนื้อปอด รายนี้โควิดมีแน่ ตรวจเชื้อเจอ แต่โรคที่ทำให้เสียชีวิตอาจเป็นอีกประเด็นหนึ่ง อาจโรคหัวใจร่วมด้วย” นพ.ทวีกล่าว