ฟิลิป กิราลดี อดีตผู้เชี่ยวชาญการต่อต้านการก่อการร้าย และ จนท.ซีไอเอ ระดับหัวกระทิ หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ระบุ “ไวรัสโคโรนา” ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติผ่านการกลายพันธุ์ แต่อาจถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการสงครามชีวภาพ
บทความของ ฟิลิป กิราลดี (Philip Giraldi) อดีตผู้เชี่ยวชาญการต่อต้านการก่อการร้าย หน่วยข่าวกรองสหรัฐ หัวข้อ “ใครสร้างไวรัสโคโรนา สหรัฐ อิสราเอล หรือจีนเอง?” (Who Made Coronavirus? Was It the U.S., Israel or China Itself?) ที่ตีพิมพ์ในเว็บไซต์มูลนิธิวัฒนธรรมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Culture Foundation) วันพฤหัสบดี 5 มี.ค. ระบุว่า สื่อกระแสหลักรายงานเกี่ยวกับการกำเนิดของไวรัสโคโรนาว่ามันมาจากเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นพาหะของสัตว์ที่พบในค้างคาวป่าที่บริโภคโดยชาวจีนของเมื่องอู่ฮั่น
“แต่ดูเหมือนว่ามีหลักฐานบางอย่างที่จะโต้แย้งว่า ในจังหวัดที่อยู่ติดกันในประเทศจีนที่ค้างคาวป่ามีจำนวนมากขึ้นก็ยังไม่เคยมีการระบาดของโรคมาก่อน ด้วยปัจจัยดังกล่าวและปัจจัยอื่นๆ ทำให้มีการคาดการณ์ที่น่าพิจารณาว่า ไวรัสโคโรนาไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติผ่านการกลายพันธุ์ แต่ถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการซึ่งอาจเป็นตัวแทนสงครามชีวภาพ” เขาเขียนในบทความ
อาจหลุดจากห้องทดลองของจีน?
เขาอธิบายต่อว่า รายงานหลายฉบับชี้ให้เห็นว่ามีองค์ประกอบของไวรัสที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีที่ไม่สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ถ้ามันถูกต้องว่าไวรัสนั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นมาหรือแม้กระทั่งผลิตเป็นอาวุธ ก็สามารถจะอธิบายต่อได้ว่า มันหลุดออกจากห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยา ของสถาบันหวู่ฮั่น และเข้าสู่สัตว์และประชากรมนุษย์โดยอาจเป็นอุบัติเหตุ เจ้าหน้าที่เทคนิคที่ทำงานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ทราบว่า “ การหลุด” จากห้องปฏิบัติการนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
หรืออาจเป็นฝีมือของสหรัฐฯ?
เขายังตั้งข้อสังเกตว่า อีกทฤษฎีหนึ่งก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเป็นฝีมือของสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ได้ยกประเด็นเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของจีนอย่างต่อเนื่องว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของชาติอเมริกันและการครอบงำทางเศรษฐกิจ จึงเป็นไปได้ว่าวอชิงตันอาจปล่อยเชื้อออกมาเพื่อสกัดเศรษฐกิจและการทหารของปักกิ่งที่กำลังเติบโตให้ชะงักงัน
“แน่นอนว่ามันยากที่จะเชื่อว่าแม้แต่ทำเนียบขาวของทรัมป์ก็จะทำสิ่งที่ไม่ยั้งคิด แต่พฤติกรรมทำนองนั้นมันเคยมีมาแล้วในอดีต” เขาเขียนและอธิบายว่า
“ในปี 2005-2009 รัฐบาลอเมริกันและอิสราเอลได้พัฒนาไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ Stuxnet ซึ่งตั้งใจจะสร้างความเสียหายให้กับระบบควบคุมและระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ของประเทศอิหร่านที่ใช้ในโครงการวิจัยนิวเคลียร์ เป็นที่ยอมรับกันว่า Stuxnet สร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ ไม่ติดเชื้อหรือฆ่ามนุษย์ แต่ความกังวลอยู่ที่ว่ามันจะแพร่กระจายและย้ายไปติดเครื่องคอมพิวเตอร์นอกประเทศอิหร่าน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง เมื่อมันแพร่กระจายไปยังพีซีหลายพันเครื่องในอิหร่าน , เยอรมนี, คาซัคสถาน และอินโดนีเซีย” เขาอธิบาย
อิสราเอลจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสโรโรนาเร็วเกินไปจนน่าสงสัย?
อดีตซีไอเอได้ยกกรณีประเทศอิสราเอลที่อาจไขความลับที่เกิดขึ้นในประเทศจีน โดยเขาบอกว่า “นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันวิจัยกาลิลีของอิสราเอลอ้างว่าพวกเขาจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคโคโรนาไวรัสในอีกไม่กี่สัปดาห์ซึ่งจะพร้อมสำหรับการจำหน่ายและใช้งานภายใน 90 วัน”
“สถาบันดังกล่าวอ้างว่า ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยสี่ปีเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา ที่ได้รับทุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการเกษตรของอิสราเอล พวกเขาอ้างว่าไวรัสนั้นคล้ายกับเวอร์ชั่นที่มีคนติดเชื้อ ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าในการพัฒนาผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม“
“แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนสงสัยว่า จะสามารถผลิตวัคซีนใหม่ได้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไวรัสที่มีอยู่เมื่อไม่นานมานี้ได้อย่างไร พวกเขายังเตือนด้วยว่า แม้ว่าวัคซีนจะได้รับการพัฒนาขึ้น แต่ปกติแล้วมันจะต้องได้รับการทดสอบผลข้างเคียง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานกว่าหนึ่งปีและรวมถึงการใช้กับคนที่ติดเชื้อ” เขาตั้งข้อสังเกต
สหรัฐ-อิสราเอลอาจร่วมมือสร้างไวรัสโรโรนา?
เขาตั้งข้อสังเกตต่อว่า “ถ้าใครคิดว่าเป็นไปได้ว่าสหรัฐอเมริกาคือมือที่สร้างไวรัสโรโรนา ในสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์วิจัยอาวุธชีวภาพ ที่ฐานทัพในเมืองเฟรเดอริค รัฐแมริแลนด์ (Ft Detrick Maryland) มันก็น่าจะเป็นไปได้ว่าอิสราเอลเป็นหุ้นส่วนในโครงการนี้“
“การช่วยพัฒนาไวรัสจะอธิบายได้ว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอลจึงสามารถอ้างความสำเร็จในการสร้างวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะไวรัสและการรักษานั้นได้รับการพัฒนาขึ้นมาพร้อมกัน” เขาระบุ
เขาทิ้งท้ายว่า เป็นการยากที่จะอธิบายว่าทำไมไวรัสโคโรนาจึงโจมตีประเทศหนึ่งนอกจากประเทศจีนอย่างรุนแรง ประเทศนั้นก็คืออิหร่าน ศัตรูที่อ้างถึงบ่อยครั้งทั้งในสหรัฐฯและอิสราเอล จำนวนผู้ป่วยของอิหร่านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ผลบวกติดเชื้อมากขึ้น!