ปรธาน นปช. ฟันธง รัฐบาลผสม “พล.อ.ประยุทธ์” ไปไม่รอดแน่ ชี้ สถานการณ์ กำลังล่อแหลม มีการจัด “ม็อบ ชน ม็อบ” เชื่ออยู่ไม่ถึง กลางปี 2563
วันที่ 15 ธันวาคม 2562 ที่ร้านกาแฟ พีซคอฟฟี่แอนด์ ไลบรารี่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 5 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงสถานการณ์เผชิญหน้าของ 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลตั้งเวทีปลุกคนต่อต้านพวกชังชาติ กับฝ่าย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่
“สถานการณ์การเคลื่อนไหวเผชิญหน้ากันเช่นนี้ สะท้อนถึงบ้านเมืองไปไม่ได้ และรัฐบาลชุดนี้คงอยู่ได้ไม่นาน ไม่น่าถึงกลางปี (2563) แน่”
สำหรับการชุมนุมของนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวานนี้ (14 ธ.ค.)นั้น นายจตุพร แนะนำว่า การชุมนุมในครั้งต่อไป ต้องมีความระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะการชุมนุมแบบต่างคนต่างไปมีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงและทำให้เกิดการสร้างสถานการณ์ได้ง่ายดายมาก แล้วจากนั้นจะถูกลากให้สถานการณ์ไปสู่จุดอื่น หรือจะกลายเป็นเรื่องอื่นทันที
นายจตุพร ยกการชุมนุมของ นปช.มาอธิบายการถูกแทรกแซงและสร้างสถานการณ์ว่า เมื่อ นปช.ชุมนุมนานเข้า ก็เกิดการแทรกแซง ถูกสร้างสถานการณ์ โดยแปลงจากชุมนุมด้วยสันติวิธี มาเป็นขบวนการก่อสถานการณ์รุนแรง จนนำไปสู่การสร้างความชอบธรรมให้ปราบปรามสังหารประชาชนจำนวนมาก
“การชุมนุมจากคนหลายแสนคน เมื่อถูกแทรกแซง จนสร้างสถานการณ์นั้น มันนำพาไปสู่เรื่องราวต่างๆมากมาย จึงขอให้ระวังจะถูกสร้างสถานการณ์ได้ และเตรียมรับมือไว้ เพราะเมื่อรุกฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่ลงมือ แล้วยังมีเวทีพวกชังชาติอีก มันสะท้อนว่ารัฐบาลไปไม่ได้ จึงต้องมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น”
รวมทั้งย้ำว่า เมื่อรัฐบาลไม่มีวีแววฟื้นเศรษฐกิจได้ จึงต้องมีอันเป็นไป โดยมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ 2 ฝ่าย เป็นตัวเร่งให้รวดเร็วขึ้น ซึ่งท่ามกลางบรรยากาศประชาชนเดือดร้อนทางเศรษฐกิจอย่างสาหัส ไม่มีที่ระบายออก จึงผลักดันให้มารวมตัวกับนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่
“การตั้งเวทีของนายธนาธร ประกอบกับพรรคฝ่ายรัฐบาลตั้งเวทีพวกชังชาติมาเผชิญหน้า และพรรคอนาคตใหม่ ถูกกล่าวหาเป็นขบวนการชังชาติ ดังนั้น บรรยากาศการเผชิญหน้าแบบนี้บอกถึงสถานการณ์หนีกันไม่ออก อีกทั้งนายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่นับต่อจากนี้ ต้องเจออีกหลายดาบทำลายจากอีกฝ่ายหนึ่ง”
นายจตุพร กล่าวว่า นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ มีอย่างน้อย 4 ดาบ ที่ต้องเจอ ดาบแรกคือ พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ซึ่งนายธนาธรเจอไปแล้ว ดาบที่สองเป็นผลต่อเนื่อง คือ ถูกร้องคดีอาญาในศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง ที่ระวางโทษ 1 – 10 ปี ตัดสิทธิการเมืองถ้าเต็มที่ 20 ปี ดาบนี้คงรอดยาก ส่วนดาบที่สาม คือ ยุบพรรคกรณีเงินกู้
ดาบที่สี่ พรรคอนาคตใหม่ ถูกร้องเรียนล้มล้างการปกครอง ที่ นายณัฐพร โตประยูร ไปยื่นไว้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 รับเรื่องรับไว้พิจารณา ย่อมทำให้คิดได้ไม่ยากว่า ผลจะเป็นอย่างไร ตนเชื่อว่าไม่รอด ดังนั้น กรรมการบริหารพรรคและอนาคตใหม่ต้องเผชิญกับ 4 ดาบนี้ ส่วนตัวของนายธนาธร จะมากกว่าคนอื่น
ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสถานการณ์ที่เดินทางไปเร็วอย่างมาก เมื่อผสมกับแก้รัฐธรรมนูญ ไม่มีทางแก้ได้สำเร็จ เพราะการตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษานั้น อธิบายได้ว่า ผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้แก้ไข อีกทั้งการตัดอำนาจ ส.ว.จึงไม่มีทางให้กลุ่มคนเหล่านี้มาร่วมแก้รัฐธรรมนูญได้ ดังนั้นสถานการณ์แก้ รัฐธรรมนูญจึงเป็นเพียงการระบายอารมณ์เท่านั้น แต่ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น
“เมื่อแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ ผสมกับเศรษฐกิจก็แก้ไม่ได้ คนมีความอึดอัดทั้งหมด ถ้าวิเคราะห์กับแบบกระดานขาดไปเลย จำปากผมไว้ อยู่ใน 3 ข้อ คือ ไม่ยุบสภา ก็ยึดอำนาจ หรือก็โยกอำนาจ ส่วนการสลับตัวไม่ใช่หนทางแน่”
นายจตุพร กล่าวถึงความเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ดังกล่าวว่า เพราะฝ่ายรัฐบาลมีปัญหาแตกแยกภายในกันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน พรรครัฐบาลไปตั้งเวทีปลุกระดมคนต่อต้านพวกชังชาติ สถานการณ์แบบนี้บ้านเมืองไปไม่ได้
“สถานการณ์แบบนี้ ไม่ต้องอธิบายกันยาวนาน ผมบอกได้ว่า รัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่ถึงกลางปี (2563) แน่นอน เพียงแต่ว่า เขาต้องการจะเลือกเล่นเกมไหนกัน”
ส่วนมีคำถามว่า ตนจะว่าอย่างไรในสถานการณ์ที่รัฐบาลไปไม่ได้เช่นนี้ นายจตุพร กล่าวว่า ต้องขอเรียนว่า ใจเย็นๆ ตนติดตามประเมินสถาการณ์อย่างเต็มที่ เพราะรู้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไปไม่ได้อยู่แล้ว