โฆษกทร.ยัน ไทยจำเป็นต้องมี “เรือดำน้ำ” เพื่อคานอำนาจ ป้องกันอธิปไตย ทะเลอันดามัน หลัง “เมียนมาร์” โชว์ ศักยภาพ ปล่อยเรือดำน้ำ ลำแรก เข้ามาประจำการแล้ว ฉะสื่อ ตีข่าว ทร.โดนแขวนงบฯ ทำสับสน
8 ธ.ค.62 พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ และ โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ทัพเรือภาคที่ 3 ต้องเตรียมการรับมือสถานการณ์ใหม่ หลังทราบข่าววันที่ 24 ธ.ค.62 ประเทศเมียนมา จะมีเรือดำน้ำเข้าปฏิบัติงานในทะเลอันดามัน
เป็นเรือดำน้ำ ระบบดีเซล-ไฟฟ้า จากอินเดีย ใช้เชื้อเพลิงดีเซล ขนาด 3,000 ตัน ความยาว 72.6 ม. มีระยะปฏิบัติการใต้น้ำได้ 640 กม. สามารถปฏิบัติการใต้น้ำได้ 45 วัน กำลังพลประจำเรือ 52 นาย สามารถดำน้ำลึกได้สูงสุด 300 เมตร เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยม สามารถติดอาวุธได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งอินเดียจัดซื้อจากประเทศรัสเซียตั้งแต่ปี 1980 และปรับปรุงให้ทันสมัยเพิ่มเติมจากอู่ต่อเรือในประเทศอินเดีย
ทั้งนี้ เมียนมายังระบุว่าเรือดำน้ำลำนี้ จะถูกใช้ในภารกิจด้านความมั่นคงและการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของเมียนมาเป็นหน้าที่หลัก “ถือเป็นขีดความสามารถทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางทหารของประเทศรอบบ้านด้านฝั่งทะเลอันดามันอีกประเทศหนึ่ง ที่กองทัพเรือไทยจะต้องเร่งหาวิธีการรับมือต่อไป”
โฆษก ทร. ยังกล่าวถึงกรณี สื่อมวลชน เสนอข่าวถึง โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ วงเงิน 22,500 บาท ถูกแขวน อยู่ในชั้น กมธ.พิจารณางบฯกระทรวงกลาโหม ถือว่า เป็นการสื่อความที่ทำให้สับสน เพราะโดยข้อเท็จจริง เป็นเพียงแค่พักการประชุมเรื่องนี้ไว้ก่อนเท่านั้น โดยมีกำหนดนัดหมายพิจารณากันต่อในวันที่ 9 ธ.ค.2562 ดยในส่วนกองทัพเรือก็ได้จัดหน่วยและผู้เกี่ยวข้องไว้พร้อมให้รายละเอียดแล้วทุกขั้นตอน
“การมีข่าวโดยใช้คำว่า แขวนงบประมาณเป็นสำนวนภาษาทางระบบงานงบประมาณ ที่มีความหมายรุนแรง แต่สำหรับเหตุการณ์จริงที่เกิด ณ ขณะนี้ เป็นแค่การพักการประชุมดังนั้นข่าวที่เกิดขึ้นจึงน่าจะเป็น การสื่อความหมายที่สับสน” โฆษก ทร.กล่าว