สถานการณ์ที่ มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่างออกมาสร้างความขัดแย้งทางศาสนา ระหว่างอิสลามกับชาวพุทธ’ประสาน ศรีเจริญ’ ได้ออกมาเตือนว่า จะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่นำไปสู่สงครามศาสนา ซึ่งจะเข้าทางต่างชาติที่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง
นายประสาน ศรีเจริญ รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี กล่าวในการบรรยายพิเศษ ในระหว่างการเป็นประธานเปิดวาน ซะห์เราะห์สัมพันธ์ ครั้งที่ 34 ที่มัสยิด ซะห์เราะห์ตุล แขวงดอกไม้ เขตประเวศ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ในความส่วนหนึ่งว่า ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้ เป็นสถานการณ์ที่ล่อแหลม ที่จะต้เอวทำความเข้าใจ ‘มุสลิมในประเทศนี้กำลังถูกมองว่า เป็นจำเลยของสังคม คนที่อายุเกิน 50-6 ปี คงยังไม่เคยเห็นการต่อต้านการก่อสร้างมัสยิด สมัยบรรพบุรุษเราไม่เคยเห็น ตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย กรุงศณีอยุธยา กรุงธนบุรี จนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เราอยู่ด้วยกันมาแบบเรียบร้อย ร่วมกันสร้างประเทศมาด้วยกัน ถ้าเราดูจากประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่มุสลิมเป็นคนเขียน บอกว่า มุสลิมไม่ใช่ผู้อาศัย แต่เป็นชนชาวไทยที่ร่วมกันกอบกู้กรุงศรีอยุธยามา เมื่อตอนที่เราเสียเมือง คนที่กอบกู้ส่วนหนึ่งเป็นมุสลิม คนที่เผาพระพุทธรูปแล้วลอกเอาทองไป ใครครับ ไม่ใช่มุสลิม แต่เป็นชาวพุทธด้วยกันที่มาจากพม่า คนที่ขับไล่พม่าไป เป็นคนไทยที่มีหลากหลายเชื้อชาติ’
นายประสาน กล่าวด้วยว่า พี่น้องมุสลิมเวลานี้ อยู่กันมาเคารพทางวัฒนธรรม ไม่เคยมีปัญหาใดๆระหว่างศาสนา แต่บัดนี้มีต้องการให้เราเกิดความบาดหมางระหว่างศาสนา เราต้องยอมรับว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ จำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน เมื่ออยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดความขัดแย้งกันได้คือ เรื่องศาสนา ที่ถือเป็นเรื่องเปราะบางและกระตุ้นความรู้สึกของแต่ละคน เป็นจุดเปราะบางที่จะสร้างปัญหามันไปเร็ว ‘บางคนบอกว่า การต่อสู้เพื่อศาสนา ความตายบไม่กลัวการสร้างกระแสให้เกิดขึ้นในประเทศไทยที่มีจุดเด่น ที่อยู่กันมาไม่มีปัญหาทางศาสนา ลองไปดูวิมัสยิดอยู่ใกล้วัด เวลามัสยิดต้นสนทำงานใช้ของวัด ที่อยุธยามีการเอื้ออาทรซึ่งกันและกันศาสนา จึงเป็นจุดสำคัญที่คนนำไปให้เกิดความแตกแยก
อีกเรื่องคือ สยามเมืองยิ้ม กำลังจะถูกทำลาย แต่มีความพยายามสร้างความแตกแยกโดยใครไม่รู้ ที่สามารถทำได้โดยใช้เงิน เพื่อสามารถที่จะครอบงำได้ ถ้าตราบใดที่คนไทยไม่มีปัญหาระหว่างกหันรักกัน ไม่มีใครสามารถรุกรานประเทศไทยได้ กรุงศรีอยุธยาที่เสียเมืองเพราะคนไทยแตกสามัคคีใช่หรือไม่ แล้วเราต้องการให้เกิดเหตุการณ์ในอดีตหรืออย่างไร ‘
สำหรับมุสลิมในสถานการณ์อย่างนี้ ในการอยู่ร่วมกันเป็นส่วนร่วม มีความแตกต่าง มีความเชื่อไม่เหมือนกันนั้น อิสลาม ระบุไว้ว่า มุสลิมจะต้องมีความเชื่อ ความศรัทธาว่า มนุษย์มาจากรากเหง้าเดียวกัน คือ จากนบีอาดำ และพระนางฮาวา จนมีลูกหลานสืบต่อกันมา มนุษย์ไม่ใช่มาจากลิง และมีพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งถ้าเราคิดว่า มนุษย์มาจากที่เดียวกัน ก็จะเกิดความใกล้ชิดเหมือนพี่น้องกัน และมนุษย์จะต้องได้รับการยกย่อง มีการยกย่องซึ่งกันและกัน และพระเจ้าให้มนุษย์มีความประเสริฐกว่าสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง พระองค์ได้ยกย่องมนุษย์ มนุษย์จึงต้องยกย่องซึ่งกันและกัน ซึ่งการได้รับเกียรติทำให้การมีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ต่างคนต่างให้เกียรติ และเชื่อใจกันและกัน อิสลามจึงห้ามการมองคนในแง่ร้าย ห้ามการละเมิดสิทธิระหว่างกัน
‘สิ่งที่มุสลิมจะต้องปฏิบัติให้ได้ ก็คือ ยึดถือความเป็นพี่น้องในความเป็นมนุษย์ด้วยกัน ต้องช่วยเหลือให้เกียรติกัน’ นายประสาน กล่าวและว่า ความแตกต่าง เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ ทั้งเรื่องของภาษา ผิวพรรณ รูปร่าง เป็นเรืองความแตกต่างที่เป็นเรื่องธรรมชาติ แม้แต่ความเชื่อ เพื่อเป็นการทดสอบยว่ามนุษย์ รู้บุญคุณ รู้สำนึกหรือไม่ เพราะทุกคนจะต้องกลับไปสู่พระองค์ มนุษย์เกิดมาแล้ว เมื่อตายไปก็ไม่ได้ดับสูญ เราจึงต้องทำความดี เพื่อผลดีในโลกหน้า ซึ่งแต่ละศาสนาสอนไม่เหมือนกัน ไม่มีการบังคับกันในเรื่องศาสนา จะต้องมีเสรีภาพ เสรีภาพทางการเมืองจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีเสรีภาพทางศาสนา คำว่าเสรีคือ จะทำอะไรก็ได้ในเรื่องศาสนา ที่ไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น ซึ่งมีทั้งสิทธิ และหน้าที่
‘การเกิดความแตกต่าง เพื่อให้เราได้รู้จักกัน ไม่ใช่เพื่อรบกัน แต่เพื่อช่วยเหลือกัน ซึ่งหน้าที่มนุษย์คือ การสร้างความเจริญให้กับโลกใบนี้ และการรบกันไม่ได้สร้างความเจริญ ความอิจฉาริษยากันเป็นความเจริญไม๊ การใส่ใคร้ใส่ความกันเป็นความเจริญไม๊ ศาสนาอิสลามห้ามในการเข้าไปก้าวก่ายศาสนาอื่น ศาสนาห้ามการประณามความเชื่อถือของบุคคลอื่น เพราะไม่ใช่นั้น คนที่เราประณามก็จะมาประณามศาสนา เท่ากับไปขอแรงปากคนอื่นมาว่าศาสนาเรา และถ้าเรานำศาสนามาเกี่ยวข้อง มันมีผลต่อจิตใจมาก ใครมาว่าศาสนาเรา ตายก็ยอม ใครไปว่าศาสนาพุทธก็เป็นเรื่อง ก็ยอมตายกัน ถือเป็นสิ่งที่อันตราย การที่เรามีความแตกต่างกัน เพื่อได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน อย่างในเรื่องความรู้ มุสลิมได้เรียนรู้ได้ประโยชน์จากศาสนาอื่น และคนศาสนาอื่นก็ได้ประโยชน์จากมุสลิม อย่ามองความแตกต่างเป็นเรื่องที่จะเข่นฆ่ากัน ต้องร่วมมือกันสร้างโลกใบนี้ให้น่าอยู่ ไม่มีศาสนาไหน ที่อยู่ให้ไปตีคนอื่นทำร้ายคนอื่น หรือฆ่าคนอื่น’ นายประสาน กล่าว
‘การที่เราจะอยู่ร่วมกัน ทำความเข้าใจกันนั้น ไม่ใช่การทำสงคราม แต่จะต้องมีการเจรจาพูดคุยกัน หนทางในการทำให้เกิดข้อเท็จจริง คือจะต้องมีการเจรจากันด้วยดี และจะต้องทำดีต่อกัน ให้ความยุติธรรมต่อกัน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบคนอื่น ศาสนาสั่งให้เราทำดีด้วย ถ้าเขาไม่ได้ทำสงครานกับเรา และไล่เราออกจากที่อยู่จะต้องทำดีกับเขาในทุกมิติ การทำดีต่อคนอื่น ต้องทำดีกับทุกคน’
นายประสาน กล่าวว่า คนที่พยายามบิดเบือนกล่าวหาศาสนาอิสลาม จะยึดครองประเทศไทย ต่อต้านการสร้างวมัสยิด ต่อต้านเรื่องฮาลาลต่างๆ ถ้าหากปล่อยไๆปอย่างนี้ จะเข้าล็อกของคนที่ต้องการให้เกิดสงครามศาสนา ถ้าผู้คนทั้งหลายในประเทศนี้ยังเชื่อคำบิดเบือน แล้วพยายามผลักใสให่มุสลิมออกไปจาประเทศนี้่ จะเข้าตามอัลกุรอ่านบอกไว้ คือ
‘จะกลายเป็นสงครามศาสนา เพราะอยู่ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้หมด และให้ไล่ออกนอกประเทศ ได้เงื่อนไขตามที่ศาสนากำหนด ระวังให้ดี ทำไปทำมาจะเข้าล็อกคนที่คิดไม่ดี นี่กำลังจะดึงคนต่างประเทศเข้ามา กำลังจะชักศึกเข้าบ้านได้ไม๊เนี่ย เราต้องการให้เสียกรุงรัตนโกสินทร์เหมือนเสียกรุงศรีอยุธยาได้หรือไม่ ประวัติศาสตร์บอกว่า หากคนไทยรักกัน ไม่มีใครทำอะไรได้ แต่หากแตกแยกก็มีปัญหา ผมเป็นคนไทย ผมรักประเทศไทย และเห็นทุกคนเป็นพี่น้องร่วมชาติ และมุสลิมทุกคนก็คิดอย่างนั้น เมื่อก่อนเราบอกว่ามุสลิมสุดโต่ง ตอนนี้ก็มีพุทธสุดโต่ง คริสต์สุดโต่ง ความเป็นสุดโต่งมีทุกศาสนา แต่เป็นส่วนน้อย อย่าให้คนกลุ่มนี้นำหน้า’ ‘ในสถานการณ์แบบนี้ มุสลิมจึงต้องปฏิบัติตามหลักศาสนา ตอบโต้ในสิ่งที่ดี ถ้าใช้ความไม่ดีตอบโต้เราเลวยิ่งกว่า อัลเลาะฮ์บอกให้เราตอบโต้สิ่งไม่ดีด้วยกับความดี อย่าได้ตอบโต้ความไม่ดีด้วยกับความไม่ดี เรามุสลิม และคนไทยต้องตั้งสติ คิดให้ดี และให้ปฏิบัติตามหลักศาสนา’รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี กล่าว