สมาพันธ์แชร์ลูกโซ่ร้องปปง.สอบ บ.วันฮาลาล ระบุพฤติกรรมแชร์ลูกโซ่ระดมทุนผ่านยูทูป เจาะกลุ่มปชช.จังหวัดชายแดนใต้ อ้างจ่ายปันผล 648% คาดมีผู้เสียหาย 500 ราย
นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย นำตัวแทนผู้เสียหายกรณีถูกหลอกให้ร่วมลงทุนกับบริษัท วันฮาลาล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ซานโตนเนส จำกัด ซึ่งมีนายยุสรี วันฮาลาล อายุ 31 ปี เป็นเจ้าของ เข้าร้องขอให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เร่งรัดติดตามธุรกรรมทางการเงินในคดีฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นมูลฐานความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน โดยมี ร.ต.อ.ไพรัตน์ เทศพานิช เลขานุการกรม เป็นผู้รับเรื่อง
นายสามารถ กล่าวว่า บริษัท วันฮาลาลฯ และซานโตนเนสฯ มีพฤติการณ์ชักชวนให้ผู้เสียหายเข้าร่วมลงทุน อ้างว่าประกอบธุรกิจหลายประเภททั้ง น้ำมันพืช ทองคำ และอื่น ๆ โดยเสนอผลตอบแทนที่สูงถึง 54% ต่อเดือน หรือ 648% ต่อปี เช่น ร่วมลงทุนราคาหุ้นละ 3,000 บาท จะได้ค่าตอบแทน 400 บาทต่อสัปดาห์ ต่อ 1 หุ้น กรณีดังกล่าวมีผู้เสียหายเกือบ 500 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 500 ล้านบาท ผู้เสียหายส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจ.นราธิวาส สงขลา และปัตตานี แต่ละรายเฉลี่ยความเสียหายหลักแสนบาท เบื้องต้นพบเจ้าของธุรกิจดังกล่าวมีหมายจับแล้วถึง 2 หมาย ในพื้นที่จ.ยะลาและจ.ปัตตานี ปัจจุบันบริษัทที่เปิดในพื้นที่จ.นราธิวาสก็ปิดตัวไปแล้ว
นายสามารถ กล่าวต่อว่า บริษัท วันฮาลาลฯมีการเปิดกิจการประมาณ 1 ปี ผู้เสียหายระบุว่าถูกชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่มไลน์ที่มีการส่งข้อมูลเชิญชวนให้เข้าร่วมธุรกิจ มีการส่งข้อมูลและภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นถึงการประกอบกิจการ และการร่วมลงทุนในธุรกิจหลายประเภท นอกจากนี้ยังมีการระบุชื่อบุคคลที่มีตำแหน่งในคณะกรรมการอิสลามเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมจัดกิจกรรมสัมมนาสร้างแรงบันดาลใจ ในช่วงแรกที่ร่วมลงทุนจะเหมือนกับกรณีแชร์ลูกโซ่ทั่วไปคือได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนที่ร่วมลงทุน ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและนำเงินมาเพิ่มทุนขึ้นเรื่อย ๆ และชักชวนบุคคลใกล้ชิดให้ร่วมลงทุน ทั้งที่ตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีการดำเนินกิจการจริง อย่างไรก็ตาม มีการอ้างให้ผู้เสียหายยินยอมแปลงทุนเดิมไปลงทุนในเฟสใหม่เพื่อจะได้รับทุนคืน ซึ่งพบว่าการย้ายดังกล่าวต้องมีการลงทุนเพิ่ม ทำให้ผู้เสียหายถูกหลอกซ้ำอีก
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทฯดังกล่าวเคยออกรายการแข่งขันทางธุรกิจชื่อดัง ซึ่งมีการนำรายการดังกล่าวที่เผยแพร่ผ่านทางยูทูปมาชวนเชื่อเพื่อหาสมาชิกเพิ่มเติมด้วย
นายกิตติ ทัฬหพงศ์ อายุ 39 ปี ประกอบธุรกิจส่วนตัว หนึ่งในผู้เสียระบุว่า ได้รับการชักชวนจากเพื่อนให้เข้าร่วมกลุ่มไลน์ของเครือข่ายดังกล่าว ทำให้หลงเชื่อข้อมูลที่มีการเผยแพร่ทั้งภาพและข้อความเกี่ยวกับกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท โดยตนเข้าร่วมลงทุนเมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว มีการระบุว่าบริษัทได้ทำข้อตกลงทางธุรกิจใหม่กับประเทศลาว ตนนำเงินมาลงทุน 2 ครั้ง ครั้งแรก 150,000 บาท ได้ทุนคืนหมดแล้ว จึงลงทุนในครั้งที่ 2 อีก 150,00 บาท ซึ่งในครั้งนี้ได้ทุนคืน 100,000 บาท ขาดทุน 50,000 บาท ขณะที่เพื่อนสูญเงินลงทุนไปประมาณ 230,000 บาท
ด้านร.ต.อ.ไพรัตน์ กล่าวว่า ขอเตือนประชาชนที่ได้รับการชักชวนจากบุคคลหรือนิติบุคคลให้ร่วมลงทุนในกิจการที่มีผลตอบแทนสูงควรไตร่ตรองและหาข้อมูลการประกอบกิจการให้ดี ต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือและตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานที่ตรวจสอบได้ ปัจจุบันมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนและมีความเสียหายเป็นมูลค่าสูงหลายคดีที่ปปง.อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ
คมชัดลึก