แนะ “บิ๊กตู่” เอาคืน “เสรีพิศุทธ์” ฟ้อง ป.ป.ช. จงใจ ใช้อำนาจ กมธ.กลั่นแกล้ง

อดีตรองโฆษก พรรค ปชป. โพสต์ เฟซบุ๊ก แนะ  “บิ๊กตู่-ลุงป้อม” ใช้ กฎหมาย ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง  เอาผิด “เสรีพิศุทธ์” ปมใช้อำนาจมิชอบ กลั่นแกล้ง มีโทษ จำคุก 1-10 ปี ปรับ 2,000-20,000บาท

3 พ.ย.62 นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุกรณี “เมื่อกรรมาธิการ ป.ป.ช.ใช้อำนาจในทางที่ผิด ต้องฟ้องให้ติดคุก มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง” มีเนื้อหาว่า

กรณีที่ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร ออกมาระบุว่า จะมีการใช้ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ.2554 มาใช้กับนายกรัฐมนตรี และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หากเชิญครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 แล้วยังไม่มานั้น

ตนเคยแสดงความเห็นไปก่อนหน้านี้แล้วว่า กรรมาธิการชุดนี้แส่ไม่เข้าเรื่อง การเชิญนายกรัฐมนตรีและพลเอกประวิตรมาชี้แจงในประเด็น ครม.ไม่มีอำนาจเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 เพราะยังถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของกรรมาธิการป.ป.ช. ตามข้อบังคับการประชุมสภาหมวด 5 ข้อ 90(22) ที่ระบุว่า “คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบมีหน้าที่และอำนาจกระทำกิจการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใดๆที่เกี่ยวกับกระบวนการและมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ”

ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเด็นที่กรรมาธิการป.ป.ช. ใช้เป็นเหตุผลในการเชิญนายกรัฐมนตรีและพลเอกประวิตรไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรรมาธิการ การกระทำของกรรมาธิการป.ป.ช.จึงเป็นการดำเนินการที่เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตัวเอง

ผมไม่ได้ต้องการปกป้องพลเอกประยุทธ์หรือพลเอกประวิตร แต่เห็นว่ากำลังมีการใช้กรรมาธิการเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างน่ารังเกียจ ซึ่งจะทำให้การทำงานของสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติเสื่อมเกียรติไปด้วย เพราะคนเป็นส.ส.ควรใช้กรรมาธิการเป็นเครื่องมือในการรักษาผลประโยชน์ให้กับประชาชนไม่ใช่ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองและพวกพ้อง

“ขอเสนอให้พลเอกประยุทธ์หรือพลเอกประวิตรในฐานะผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีกับกรรมาธิการป.ป.ช. ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายคำสั่งเรียกฯมาตรา 12 ที่บัญญัติว่า กรรมาธิการผู้ใดปฏิบัติ หรือ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึง 10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”