“จตุพร”เตือน! “บิ๊กแดง” จ้องเป็นนายกฯ จะเจอแต่ “ทุกขลาภ” ลั่น ไม่จ่าย 21 ล. คดี เผาเมือง

“จตุพร” ออกรายการ “ลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์” ลั่นไม่มีเงินจ่าย 21 ล้าน จาก คดีเผาเมือง ปลุกแนวร่วม ปม แก้รธน.เอาแค่ ตั้ง สสร.ก่อน เตือน”บิ๊กแดง” อย่าดีใจถูกวางตัว เป็นนายกฯ ชี้ จะมีแต่ “ทุกขลาภ” ชี้ อภิปราย พรบ.งบฯ ไม่มีทางล้ม รัฐบาลได้ 
         เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2562 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ “ลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์” ผ่านสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวี ทุกวันอาทิตย์ หัวข้อ“แผ่นดินของเราในมุมมองของจตุพร ประธาน นปช. ” ระบุว่า สังคมไทยหลายวันที่ผ่านมา มีความเห็นแตกต่างกันในหลายมิติ ส่วนศาลสั่งให้จ่ายเงินอีก 21 ล้านบาทนั้น รู้สึกเฉยๆ การให้ชดใช้เงิน 30 ล้านบาทแรกเจอมาแล้ว เมื่อมาเจอซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง จึงไม่มีความรู้สึกใดๆ เพราะไม่มีจ่าย อีกทั้งปลายทางรู้อยู่แก่ใจว่า ต้องล้มละลายเท่านั้น
         ส่วนมีการพูดประชดว่า ตนอยู่เพื่อเอาตัวรอดนั้น ขอปฏิเสธ และยืนยัน จะไม่อยู่เพื่อเอาตัวรอด เมื่อบ้านเมืองมีความยากลำบาก จึงต้องการให้ประเทศรอด ทั้งนี้ ความยากลำบากของประเทศสะท้อนผ่านปัญหาข้าว และแทบไม่น่าเชื่อ เราซื้อข้าวจากเพื่อนบ้านมากินกันมาแล้ว ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ไม่แตกต่างช่วงเดือนตุลาคม 2516
         นายจตุพร กล่าวถึงสถานการณ์โลกว่า ประเทศใหญ่ๆวันนี้ แทบไม่มีความแตกต่างกันในทางเศรษฐกิจ หากกล่าวถึงประเทศคอมมิวนิสต์แล้ว ประเทศจีนใหญ่ที่สุด แต่เป็นคอมมิวนิสต์ในรูปแบบเศรษฐกิจทุนนิยม เวียดนามก็เป็นทุนนิยมเช่นกัน รวมทั้งไม่แตกต่างจากประเทศสหรัฐที่เป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจทุนนิยม
         ส่วนประเทศไทย เมื่อกองทัพต่อสู้กับกองทัพปลดแอกประเทศไทย  เกิดการเสียชีวิตมากมาย แต่การรบสมัยนั้นยังมีการเจรจากันไป สู้กันไปด้วย เพราะสิ่งสำคัญของการรบคือ การไม่รบเพื่อยุติการต่อสู้ ไม่มีเข่นฆ่ากัน ดังนั้น วันเสียงปืนดับจึงยิ่งใหญ่กว่าวันเสียงปืนแตก เพราะไม่มีการสู้รบกัน “วันนี้ ไม่มีคอมมิวนิสต์กันแล้ว มีแต่ทุนนิยมจีน ซึ่งค้าขายเก่ง แทบไม่มีประเทศใดแข่งขันได้ ฉะนั้นภัยทางการค้าขายจึงสำคัญ และเกิดปัญหาว่า กองทัพจะเดินไปอย่างไร เมื่อไม่มีการสู้รบกัน”
         นายจตุพร ย้ำตลอดการสนทนาในสถานการณ์ปัจจุบันว่า สิ่งที่เราต้องพูดกันคือ จะพาประเทศให้รอดได้อย่างไร ส่วนขบวนการประชาธิปไตยนั้น ตนผ่านการต่อสู้มากว่า 30 ปีแล้ว จึงเกิดคำถามว่า เราต้องการอะไร แต่สำหรับตนคือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
         สำหรับการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 นายจตุพร เน้นว่า หากตั้งเป้าหมายจะเอาให้ได้ทุกอย่างแล้ว จะไม่ได้อะไรสักอย่างเลย เราควรมีเป้าหมายเอาแค่เปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ให้เกิดสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ให้ได้ก่อน “จากนั้นให้เกิดเสรีภาพของประชาชนอย่างเป็นจริง หากไปอธิบายว่า ต้องการได้อะไร สิ่งนี้ควรให้ ประชาชนกำหนด หรือคิด ว่า ประชาชนต้องการอะไร ถ้าเริ่มแก้รัฐธรรมนูญด้วยคำถามนักการเมืองต้องการอะไร เราไม่มีวันเดินไปถึง”
         ส่วนการลงมติรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ ฝ่ายค้านงดออกเสียง ถือว่า เป็นไปตามสภาพปกติทางการเมือง เพราะเรื่องงบประมาณไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ การล้มรัฐบาลทางการเมืองนั้น อยู่ที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจในปัญหาทุจริต ซึ่งคือการใช้งบประมาณ แต่การเมืองไทยมีเหตุการณ์น้อยมากที่รัฐบาลถูกล้มในสภา ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเชื่อมโยงกับกระแสประชาชนนอกสภาเป็นสำคัญ
         นายจตุพร กล่าวถึง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. บรรยายพิเศษว่า พูดมากเกินไป แทนที่จะได้ใจประชาชนกลับสร้างผลกระทบให้ตัวเอง นอกจากนี้ยังมีการเชียร์ให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตนอยากเตือนว่าอย่าเพิ่งดีใจ หวั่นจะเกิดทุกขลาภแทน และไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย “ผมไม่มีอะไรกับ ผบ.ทบ. หลายเรื่องอาจไม่เห็นด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องตอบโต้ วันนี้เราต้องอดทน เพราะต้องการนำพาประเทศให้รอดพ้น และประชาชนไม่บาดเจ็บล้มตายอีก เราต้องคิดเพื่อลูกหลานมากกว่าเพื่อตัวเอง ถ้าคนไทยร่วมมือกันทุกด้าน เศรษฐกิจอันสาหัสจะข้ามพ้นไปได้ หากแบ่งฝ่ายกัน มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ก็ไปไม่รอด
       นายจตุพร กล่าวตอนท้ายว่า ตนไม่มีอะไรต้องเอาใจกับรัฐบาลนี้ ตลอดปีที่ผ่านมา ตนฟังมากกว่าพูด ฟังจากทุกกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย อีกทั้งไม่เคยรอดคดีสักคดีด้วย “แต่ผมมาถึงจุดที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อเอาชาติให้รอดก่อน โดยรัฐบาล กองทัพ พรรคการเมือง และภาคประชาชนต้องทบทวนตัวเอง ผมเชื่อว่าวันนี้ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องเปิดกว้าง เพื่อคิดหาทางจะเอาชาติรอดได้อย่างไร เราต้องละวางตัวเองลงก่อน”