ปิดฉาก ชะตากรรม 4 แกนนำ นปช. “ตู่-เต้น-หมอเหวง-กี้ส์” ศาลสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย รวมเบ็ดเสร็จ กว่า 50 ล้านบาท จากการชุมนุม เผาบ้าน เผาเมือง เมื่อปี 2553 ถือว่า เป็น กรรม ที่กำลังถูก ตามทวงหนี้ ชดใช้กับสิ่งที่ผ่านมาในอดีต ไม่ว่าจะโดย เจตนา ตั้งใจ หรือ มี ผู้บงการ อยู่เบื้องหลัง ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ในคดีหมายเลขดำ 1762/2554 ที่มีคำสั่งให้ 3 แกนนำ แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) คนคือ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช.และ น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนกว่า 21 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจากการเผาตึกย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อันเนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 โดยให้ชดใช้ค่าเสียหายไม่เกิน 2 ปี รวมถึงให้จ่ายค่าธรรมเนียมและค่าทนายความให้ฝ่ายโจทก์อีกด้วย
ทั้งนี้แม้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิรวมถึงผู้อาศัยบริเวณดังกล่าวจะยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นจำเลยรวมทั้งหมดตั้งแต่ 1-10 แต่ศาลได้ยกฟ้องทั้งหมด เหลือเพียงจำเลยที่ 8-10 ที่เป็นแกนนำ นปช.ดังกล่าวเท่านั้นที่สั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์
หากนับคดีนี้ที่ถูกศาลฎีกาสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายกับโจทก์ที่เป็นนักธุรกิจที่ได้รับความเสียหายจากการเผา อันเนื่องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 53 ถือว่าไม่ใช่เป็นคดีทางแพ่งคดีแรก ที่ พวกเขาแพ้คดี เพราะก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมปีเดียวกันนี้ ก็เกิดคดีในลักษณะเดียวกัน นั่นคือคดีแพ่งที่ถูกนักธุรกิจและผู้อาศัยในย่านถนนราชปรารภจำนวนหนึ่งร่วมกันฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ตั้งแต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงมาและมีแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกรณีการชุมนุมและมีการเผาอาคารพาณิชย์ในย่านถนนราชปรารภ ซึ่งศาลฎีกาก็ได้มีคำพิพากษาในคดีแพ่งที่ 6646-6647/2561 ให้จำเลยซึ่งเป็นแกนนำ นปช.3 คน คือ จุตพร ณัฐวุฒิ และ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนกว่า 19 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี หรือราว 21 ล้านบาทเช่นเดียวกัน
หากรวมเฉพาะสองคดีนี้สำหรับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกา (21+21) ก็ร่วมๆ 50 ล้านบาท ขณะที่ “กี้ส์” อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง พร้อมกับภรรยา ได้หลบหนีไร้ร่องรอยไปแล้ว หลังจากมีคำพิพากษาให้จำคุกและยึดทรัพย์ในคดีอาญาหลายคดีก่อนหน้านี้
หากจะเรียกว่า “อ่วมอรทัย” ก็คงไม่ผิดนัก โดยเฉพาะคดีทางแพ่งที่ว่ากันเพียงแค่สองคดี เมื่อนำมาหารแบ่งกันแล้วก็ยังถือว่าคนละหลายล้านบาทอยู่ดี ซึ่งก็เป็นแกนนำหลักที่ถูกระบุชื่อเป็นจำเลย ชัดเจน จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เหวง โตจิราการ และ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง
แม้ว่าตามขั้นตอนทางกฎหมายอาจจะมีเทคนิคในการต่อสู้ ยื้อคดี ถ่วงเวลาเพื่อปฏิบัติตาม คำพิพากษา แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าช้าหรือเร็ว ในที่สุดก็ต้องจ่าย ซึ่งยังไม่รู้ว่ายังมีคดีแบบเดียวกันนี้ยังเหลืออยู่อีกกี่คดีที่เป็นคดีทางแพ่ง เพราะเมื่อสองคดีดังกล่าวเป็นแนวทางแล้ว หากมีคดีที่เหลืออยู่ก็ต้องบอกว่า “รอดยาก”
นี่ยังไม่นับคดีอาญา ที่ จนถึงเวลานี้ ก็เริ่มทยอยพิพากษาจนถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกากันบ้างแล้ว ที่สำคัญพวกเขาหมดอนาคตทางการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเมื่อเคยมีคำพิพากษาให้จำคุก มันก็เป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือ แม้แต่ถูกคำพิพากษาให้ตัดสิทธิทางการเมืองโดยตรงเป็นเวลา 10 ปี สำหรับ จตุพร พรหมพันธุ์ ขณะที่แกนนำคนอื่นๆก็รอลุ้นคดีอาญาที่กำลังใกล้จะสิ้นสุดลงไปเรื่อยๆ
ก็ต้องถือว่า เป็น กรรม ที่ 4 แกนนำ นปช. “ตู่-เต้น-หมอเหวง-กี้ส์”จำเป็นต้องชดใช้ โดนตามล้าง ตามทวง กับ ผลการกระทำในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ โดยเจตนา ตั้งใจ หรือ อาจจะ ไม่เจตนา ตั้งใจ แต่มี “ผู้บงการ” อยู่เบื้องหลังก็ตาม !