เปิดศึก! พ.ร.บ.งบฯ 63 “บิ๊กป้อม”ชี้ รมต.มีสิทธิ์ โหวต”เทพไท”เตือน ปมกม.ส่อถูก ศาลรธน.ตีความ

ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านเปิดศึก ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้าน โดย “บิ๊กป้อม” ยืนยัน รมต.มีสิทธิ์ลงคะแนนได้ พร้อมท้าสื่อ เดิมพัน มั่นใจผ่านแน่นอน “อุตตม” โวลั่น พรรคร่วม รัฐบาล เหนียแน่น แม้เสียง”ปริ่มน้ำ” แต่ไม่มีปัญหา “เทพไท” เตือน อาจโดนฝ่ายค้าน ยืนศาลรธน.ตีความ ปม รมต.โหวต “สุดารัตน์” ฉะ พ.ร.บ.63 มีการลงทุนแค่20 เปอร์เซนต์

วานนี้(9 ต.ค.) ที่ กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.มีสิทธิโหวตงบประมาณร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่ ครม.จะนำเข้าสู่ที่ประชุม สภาผู้แทนราษฎร วาระแรก ว่า รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ทุกคนจะต้องยกมือโหวต เพราะมีสิทธิโหวต หาก พ.ร.บ.งบรายจ่ายปี 2563 ไม่ผ่านก็เป็นไปตามที่นายวิษณุระบุไว้คือยุบสภา ส่วน กรณีนายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ หน.พรรคประชาธรรมไทย เดินทางมาพบนายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ที่ปรึกษา พล.อ.ประวิตร เพื่อขอสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 นั้น พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่ต้องคุย หากดีเขาก็โหวตเอง หากไม่ดีก็ไม่ต้องโหวต ยืนยันว่าไม่ได้มอบหมายให้นายสัมพันธ์ไปพูดคุยกับพรรคเล็ก

ส่วนที่ฝ่ายค้านเตรียมโจมตีการใช้จ่ายงบประมาณของกองทัพนั้น ยืนยันว่า งบประมาณกองทัพไม่ได้มากกว่าช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ใช้น้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่เป็นแผนการพัฒนากองทัพ ซึ่ง ผบ.เหล่าทัพดำเนินการและวางแผนใช้งบประมาณไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ใช่เบิกปากเปล่า เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่า พ.ร.บ.งบรายจ่ายปี 2563 จะผ่านสภาฯ พล.อ.ประวิตรตอบว่า “มาเดิมพันกันไหมว่า พ.ร.บ.งบประมาณจะผ่านหรือไม่”

นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พป.ชร.) กล่าวว่า พรรคจะประชุมเตรียมความพร้อมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 โดยนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าพรรค พป.ชร.กำชับให้เตรียมความพร้อมเต็มที่ มั่นใจงบรายจ่ายปี 2563 จะผ่านการพิจารณา เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมีความเหนียวแน่น ส่วนกรณีเสียงปริ่มน้ำนั้นไม่มีปัญหา บริหารจัดการได้ ที่สำคัญคือ ส.ส.ของพรรคมีระเบียบวินัย ไม่ต้องห่วง อยากฝากพรรคฝ่ายค้านว่า ให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ เน้นเนื้อหาสาระ อย่าเล่นนอกเกมนอกประเด็น หาเรื่องโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี การอภิปรายงบประมาณหากทุกฝ่ายยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างก็จบ ขอให้ดูความตั้งใจของรัฐบาลที่จะมุ่งมั่นทำงานให้ประเทศและประชาชน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเรียกประชุม ส.ส.พรรควันที่ 15 ต.ค.เพื่อเตรียมความพร้อมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ที่จะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรวันที่ 17-18 ต.ค.โดยประเด็นที่เตรียมอภิปราย คือ การนำงบการแก้ปัญหาประชาชนมาสะท้อนเพื่อให้รัฐบาลจัดสรรให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด และสมดุลกับงบประมาณรายจ่ายปี 2563 เชื่อว่าทุกพรรคจะเห็นพ้องว่า การพิจารณาแก้ไขปรับปรุงงบประมาณ ควรดำเนินการในชั้นคณะกรรมาธิการที่จะตั้งขึ้น มั่นใจว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 จะผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแน่ ไม่น่าจะเกิดปัญหาแน่นอน

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส.ส.ที่ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีสิทธิ์ลงคะแนนให้ความเห็นชอบกฎหมายฉบับต่างๆที่พิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 163 เว้นแต่เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีนั้นๆ มีส่วนได้เสียกับกฎหมายฉบับนั้นไม่สามารถลงคะแนนได้ จากข้อยกเว้นนี้เชื่อว่า อาจมีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหยิบประเด็นนี้มายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความได้ เพราะมีบางคนเห็นว่า รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ไม่สามารถลงคะแนนรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณได้ เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนกันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเป็นกฎหมายที่ ส.ส.มีส่วนได้เสียในฐานะรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.คนหนึ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับการบริหารงบประมาณแผ่นดินโดยตรง จึงขอตั้งข้อสังเกตและเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธาน ยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย กล่าว ว่า ได้เห็นการจัดสรรงบประมาณรู้สึกไม่สบายใจ เพราะไม่สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้ งบลงทุนมีเพียงร้อยละ 20 ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องได้ ตัวเลขงบฯ 3.2 ล้านล้านบาทนั้น เป็นตัวเลขงบที่เพิ่มขึ้น 2 แสนล้านบาท พบว่าร้อยละ 70 เป็นการเพิ่มงบฯลงไปในส่วนที่ไม่สร้างรายได้ใหม่ พรรคจะใช้เวทีสภาฯติติงแนะนำสะท้อนให้รัฐบาลปรับงบใหม่ให้ตอบโจทย์แก้ปัญหาปากท้องให้ได้

สำนักงบประมาณ เผยแพร่ร่างกฎหมายงบประมาณปี 2563 เตรียมเข้าสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ กรอบวงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท 5 กระทรวงที่ของบประมาณสูงสุดในปี 2563 ได้แก่ อันดับ 1 กระทรวงมหาดไทย ขอเพิ่ม 25,264,762,300 บาท อันดับ 2 กระทรวงแรงงาน ขอเพิ่ม 8,284,012,300 บาท อันดับ 3 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขอเพิ่ม 7,938,942,500 บาท อันดับ 4 กระทรวงการคลัง ขอเพิ่ม 6,727,987,900 บาทอันดับ 5 กระทรวงกลาโหม ขอเพิ่ม 6,226,867,000 บาท