เฉลยข้อสงสัย PATANI110 วันที่สยามทำอะไรไว้

“เกิดคำถามขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่อมีการพ่นสีตามสถานที่สาธารณะ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นอักษรในภาษาอังกฤษดังนี้ว่า..

“PATANI.110.” คืออักษรอะไร????

จากการที่กลุ่มแนวร่วมปาตานีได้ปฏิบัติการพ่นสีตามสถานที่สาธารณะ เป็นอักษรในภาษาอังกฤษดังนี้ “PATANI 110” ทำให้เกิดข้อสงสัย ว่าอะไรคือ ..”PATANI 110”

คำตอบคือ..110 ปี  เป็นวันครบรอบว่าด้วยสนธิสัญญาแองโกลสยามภายใต้ 6 ข้อตกลงในอาณาเขตเหนือดินแดนครบรอบ 110 ปี

สนธิสัญญาดังกล่าว เป็นข้อตกลงปักปันเขตแดนระหว่างอังกฤษกับสยาม โดยมีการลงนามกันระหว่าง หม่อมราชวงศ์ ทิวาวงศ์ วโรปกรณ์ รัฐมนตรีต่างประเทศสยาม,เจนเซิล เวสเตนการ์ด (Jensle Westengard) เป็นผู้แทนฝ่ายสยามกับ ราล์ฟ พาเกท (Ralph Paget) ผู้สำเร็จราชการในมลายูของอังกฤษ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 1009 ที่ใกล้จะถึง 110 ปี เรียกสนธิสัญญากรุงเทพหรือสนธิสัญญาแองโกลสยาม 1909 (Anglo-Siamese treaty 1909) โดยมีสาระสำคัญดังนี้..1.เมืองมลายู เคดะห์ กลันตัน เปอร์ลิส ตรังกานู เกาะลังกาวีและบางส่วนของรามัน–ระแงะ ให้มอบคืนแก่รัฐบาลอังกฤษ 2.บันทึกที่เคยลงนามกันระหว่างอังกฤษ–สยาม เมื่อวันที่ 6 เมษายน 1897 ให้ถือเป็นข้อตกลงลับต่อไป 3.สยามจะไม่มอบดินแดนใดๆ ให้แก่มหาอำนาจใดตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาตามข้อ 2 4.สยามสัญญาว่า จะให้ความยุติธรรมแก่พลเมืองชาวอังกฤษในสยาม ตลอดจนการรักษาความปลอดภัยแก่ตุลาการและที่ปรึกษาด้านกฏหมายที่เป็นชาวยุโรป หากจำเป็นจะต้องมีที่ดินไว้และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับชาวอังกฤษที่อยู่ในสยาม 5.รัฐมลายูของอังกฤษ จะรับผิดชอบในปัญหาหนี้สินที่หากจะมีอยู่ของเมืองมลายูที่มอบให้อังกฤษ รวมทั้งเงินกู้ต่างๆ และงานก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ของสยาม 6.อังกฤษสัญญาว่าจะไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองในดินแดนที่มอบให้กับสยาม เช่นสตูลและปาตานีผลของสนธิสัญญานี้ ส่งผลดีให้กับรัฐมลายูที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ซึ่งต่อมาได้รับเอกราช

ปาตานีเป็นรัฐมลายูรัฐเดียวจาก 12 รัฐ ที่ต้องอยู่ภายใต้สยาม จึงเกิดขบวนการทวงคืนสิทธิความเป็นเจ้าของในเวลาต่อมา

สำหรับที่มานั้น ในอดีต แผ่นดินมลายูบนคาบสมุทรนั้นครอบคลุมถึงบริเวณคอคอดกระในปัจจุบันได้กลายเป็นอาณาเขตส่วนหนึ่งของประเทศไทยและพม่า ประชากรรัฐปาตานี ใช้ภาษามลายูถิ่นกลันตัน (ยาวี) ในการสื่อสาร ในขณะที่ชาวมลายูในบริเวณสโตล (สตูล) ไปถึงรุนดุง (ระนอง) และเกาะดูวา (Kawthong) ในพม่า สื่อสารกันโดยใช้ภาษามลายูถิ่นคลายกับของเคดาห์ชาวมลายูที่อาศัยในบริเวณดังกล่าวไม่ใช่เป็นผู้อพยพ แต่กลับกันพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้สืบทอดจากบรรพบุรุษ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรลังกาสุกะและศรีวิชัย ในฐานะชาวพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้มาอย่างช้านาน

พรมแดนอาณาเขตระหว่างดินแดนมลายูกับสยามในอดีต อยู่บริเวณระนอง หลังจากที่อาณาจักรอโยธยาได้ล่มสลายลงอันเนื่องจากถูกพม่าโจมตีในปี ค.ศ.1767 ทำให้ต้องย้ายเมืองหลวงอันเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรใหม่ของสยาม นั่นคืออาณาจักรธนบุรีที่ปกครองโดยสมเด็จพระเจ้าตากสิน กษัตริย์สยามองค์นี้ได้ทำการรุกรานและโจมตีรัฐมลายูต่างๆ ตั้งแต่เมืองลิกอร์ (นครศรีธรรมราช) จาฮายา (ไชยา) รุนดุง (ระนอง) เตอรัง (ตรัง) ไกรบี (กระบี่) บูกิต (ภูเก็ต) เบอดาลุง (พัทลุง) และสิงโกรา (สงขลา) มีเพียงแต่รัฐปาตานีเท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกโจมตีดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ประการสุดท้ายที่ป้องกันการรุกราน รัฐมลายูแห่งนี้ต้องเผชิญกับการโจมตีจากฝ่ายสยามซ้ำแล้วซ้ำเล่า สนธิสัญญาแองโกล-สยามที่จัดทำขึ้นระหว่างอังกฤษและไทยในปี ค.ศ.1990 ได้ส่งผลให้ดินแดนมลายูบนคาบสมุทร ต้องถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน #สนธิสัญญานี้จัดทำขึ้นแค่ 2 ฝ่าย โดยที่ไม่มีการตกลงหารือกับเจ้านครรัฐมลายูต่างๆ เลย ซึ่งต่อมาทำให้รัฐปาตานี สิงโกรา สโตล ไปถึงบริเวณคอคอดกระได้กลายเป็นจังหวัดหนึ่งของรัฐไทยโดยปริยาย ฉะนั้นแล้วชื่อเรียกสถานที่ต่างๆ ที่เคยมีกลิ่นไอของความเป็นมลายูในบริเวณคอคอดกระ ก็ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นชื่อเรียกในภาษาสยาม ตัวอย่างเช่น ภูเก็ต (Phuket) เพี้ยนมาจากคำว่า บูกิต หรือบูเก็ต (Bukit) ถลาง (Thalang) เพี้ยนมาจากคำว่า ตันหยงซาลัง (Tanjung Salang) นครศรีธรรมราช (Nakhon Si Thammarat) เพี้ยนมาจากคำว่า เนการ่า ศรีดารมา ราชา, บันดาร์ ศรีราชา ดารมา (Nagara Sri Dharmaraja, Bandar Sri Raja Dharma).ชื่อเก่าแก่คือ ตำบราลิงกา, ลิกอร์ (Tambralingga, Ligor) เป็นต้น

ประเทศมาเลเซีย ในปัจจุบัน แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ที่สามารถคงอยู่ไว้ของรัฐต่างๆ ในคาบสมุทรมลายู และหากพูดถึงไทรบุรีตามที่หลายคนเข้าใจคือหัวเมืองประเทศราชของสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว และดินแดนนี้ก็ถือว่าเก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย มีหลักฐานก่อกำเนิดมาตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 8 ซึ่งมีการค้นพบโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ที่หุบเขาบูจัง (Bujang Valley) มีกษัตริย์ที่ชื่อ มะโรง มหาวงศ์ ผู้นับถือศาสนาพุทธ–ฮินดู ปกครองจนถึงยุคของสุลต่าน มุสซอฟฟาร์ ชาห์ กษัตริย์องค์ที่ 9 ก็เปลี่ยนศาสนามานับถืออิสลามแทน ในพ.ศ.1679 ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 18 ได้ขอให้กองทัพอโยธยาลงมาช่วยปลดปล่อยไทรบุรีที่ถูกพวกอาเจะห์ยึดครอง เพื่อแลกกับการเป็นเมืองประเทศราช และนับแต่นั้นก็อยู่ภายใต้อำนาจของสยามเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดสนธิสัญญาแองโกล–สยาม หรือสนธิสัญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2452 ที่สยามได้ตัดสินใจยกเมืองไทรบุรี ซึ่งตอนนั้นเป็นจังหวัด พร้อมกับปะลิส ตรังกานู กลันตัน ให้อังกฤษ เพื่อแลกกับเงื่อนไขยกเลิกสัญญาลับ พ.ศ.2440 ที่ให้อังกฤษมีสิทธิ์เหนือดินแดนสยามตั้งแต่ ต.บางตะพาน ลงไปจนสุดแหลมมลายู ,ให้คนในบังคับของอังกฤษขึ้นศาลไทย และปล่อยเงินกู้ให้ไทยสร้างรถไฟสายใต้ตั้งแต่ จ.เพชรบุรี ไปจนจดชายแดนมลายู รวมถึงชดใช้หนี้ที่รัฐต่างๆ ติดสยามอยู่ด้วย สนธสัญญาแองโกล เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงชาติพันธุ์มลายู,ดินแดนและสันดานความเป็นสยามโดยแท้จริง! ณ ปัจจุบันลูกหลานชาติพันธุ์มลายูปาตานี ก็ยังคงยึดมั่นในหน้าที่ในการทวงคืนความชอบธรรมแก่เจ้าของดินแดนอย่างแท้จริง”.!!!

ที่มา : Cerita Patani