สมเด็นฮุนเซน เคยออกมาตอบโต้รัฐบาลไทยให้แสดงหลักฐานว่มีมุสลิมกัมพูชาร่วมก่อเหตุรุนแแรงในภาคใต้ แต่ไม่เคยมีหลักฐาน แต่การกล่าวหายังคงมีอยู่ต่อเนื่อง
เหตุการณ์จับนักเรียนปอเนาะ ที่มายอ มีการจับกุมนักเรียนกัมพูชา ถึงกับมีการระบุว่า นักเรียนกัมพูชา เข้าฝึกก่อเหตุในภาคใต้ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการกล่าวหาว่า มุสลิมกัมพูชา เข้ามาก่อเหตุใน 3 จังหวัดช่ยแดนภาคใต้ เมื่อปี 2550 ได้มีการกล่าวหาชาวกัมพูชา เข้ามาร่วมก่อเหตุในภาคใต้มาแล้ว คราวนั้น ได้นับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากสมเด็จฮุนเซน
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายฮุนเซน แสดงความไม่พอใจและโต้ตอบอย่างรุนแรง ต่อข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ไทยที่ว่า ชาวมุสลิมจากกัมพูชามีสายสัมพันธ์กับกลุ่มมุสลิมเจมาห์อิสลามิยะ หรือ JI (Jemaah Islamiyah) และมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย
“ข้อกล่าวหาที่ไม่ยุติธรรมนี้ ไม่อาจจะยอมรับได้” นายฮุนเซน กล่าว พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายไทยแสดงหลักฐานประกอบการกล่าวหา
“ผมเหนื่อยหน่ายกับการกล่าวหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ (เจไอ) และกล่าวโทษชาวมุสลิมกัมพูชา ที่ต้องการอยู่อย่างสันติและมีความเจริญรุ่งเรืองเหมือนกันคนอื่นๆ” นายฮุนเซน กล่าว
คราวนั้น เป็น พล.อ.วัฒนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง ของนายกรัฐมนตรีไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ระบุว่า ชาวมุสลิมจากกัมพูชาได้ลักลอบข้ามแดนเข้าไทยไปปฏิบัติการสนับสนุนการก่อการร้ายในภาคใต้ของไทย
พล.อ.วัฒนชัย เคยกล่าวหาเช่นเดียวกันนี้ในเดือน พ.ค.แต่แล้วก็เงียบลงไปหลังจาก มีปฏิกิริยาโต้ตอบจากทางฝ่ายกัมพูชา
คราวนั้น กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้เรียกอุปทูตไทย คือ นายสุรศักดิ์ ศุภรัตน์ เข้าพบเรียกร้องให้ปฏิเสธการกล่าวหาดังกล่าวของฝ่ายไทย หรือแสดงหลักฐานประกอบการกล่าวหา
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า จะรายงานเรื่องทั้งหมดต่อรัฐบาล และยอมรับว่า ไม่มีหลักฐานอะไรประกอบการกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ในประเทศไทยเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง
ตั้งแต่ปี 2550 จนมาถึงปี 2562 การกล่าวหาว่า มีมุสลิมกัมพูชาเข้ามาร่วมฝึกอาวุธและก่อเหคุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กลับมาอีกครั้ง ทั้งที่ ตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่มีเหตุการณ์รุนแรง ไม่เคยมีการจับกุมชาวกัมพูชาได้ซักคนเดียว แต่เป็นเรื่องว่า การกล่าวหาก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เป็นมุสลิมไม่ว่า ชาติไหน ถูกระแวงสงสัย ทุกชาติไป