“จตุพร” ย้ำ “บิ๊กตู่” ยุติก่อนบอบช้ำมากกว่านี้ “ยงยุทธ” เชื่อ “ทักษิณ” กลับเมื่อกระบวนการยุติธรรมเป็นสากล
วันที่ 1 ก.พ. ที่ทำการพรรคเพื่อชาติ ชั้น 5 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังแถลงนโยบาย และเปิดตัวผู้สมัครพรรค ว่า พรรคเราพร้อมส่งผู้สมัครครบ 350 เขต โดยพรรคจะเสนอตนในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคเพียงคนเดียว ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ในการแก้เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ ที่เป็นปัญหาสำคัญของชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นเป้าหมายของสมาชิกจึงเป็นปัญหารองลงมา ซึ่งพรรคเราไม่ได้ตั้งเป้าเหมือนพรรคอื่น โดยกลยุทธ์เราเน้นแก้ปัญหา และเข้าถึงประชาชนเป็นหลัก อย่างไรก็ดี นโยบายทั้ง 9 ข้อ ถือเป็นไฮไลท์ของพรรค ทั้งนี้นโยบายของพรรคไม่ได้ไปทะเลาะกับใคร เพราะไม่ได้มีการกล่าวร้ายพรรคใด และเราจะไม่เป็นศัตรูกับพรรคอื่น อย่างไรก็ดีวันที่ 4 ก.พ.นี้ พรรคจะเดินทางไปสมัครส.ส.แบบเขต พร้อมกันทุกเขต ที่อาคารกีฬาเวสน์ สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง
นายจตุพร กล่าวว่า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เรื่องความแตกแยกได้ถูกหยิบยกมาเป็นเงื่อนไข และในช่วง 5 ปีหลังที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจ ได้ชวนให้ทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุย เพื่อจะปรองดอง ไม่ว่าในส่วนของกองทัพ หรือในส่วนของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ตนเห็นว่าทุกฝ่าย ได้ให้ความร่วมมือ จนกระทั่งครั้งล่าสุดที่ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมเชิญทุกฝ่ายเข้าร่วม ตนมีความคาดหวังมาก ว่าจะเกิดความสำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ วันนี้จะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองเกือบทุกพรรค จะไม่พูดเรื่องการเข้าข้างความขัดแย้ง แต่พรรคเพื่อชาติได้อธิบายว่าเมื่อใดที่ประชาชนได้ตกเป็นเหยื่อ เรื่องความขัดแย้ง ผู้รักษาความสงบก็จะเข้ามา ก็คือการยึดอำนาจ เพราะฉะนั้น ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา มีการยึดอำนาจถึง 2 ครั้ง ซึ่งอ้างถึงเรื่องความขัดแย้ง ดังนั้นหากประชาชน ไม่ต้องการคณะรัฐประหารเกิดขึ้น เราต้องไม่สร้างเงื่อนไข
“วันนี้ ไม่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะรับขันหมากจากพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ จะเป็นจุดหักเหที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน ผมขอแนะนำว่าขอให้ยุติในขณะที่ท่านยังไม่บอบช้ำมากกว่านี้ ผมไม่ได้กลัวท่านในสนามการเลือกตั้ง แม้แต่เพียงสักนิดเดียว สนามการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ พวกผมสู้ท่านไม่ได้ แต่ในสนามการเลือกตั้งสนามประชาชน
ท่านเป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอมากที่สุด เพราะท่านแข็งแรงในสนามที่สู้ด้วยอาวุธท่านไม่มีวันสู้พรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตยได้เลย เพราะฉะนั้นการที่มีท่านอยู่ในสนามการเมือง ถือเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด ของฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าท่านเห็นว่าชนะ 100 เปอร์เซ็นต์คงตัดสินใจมานานแล้ว ไม่ต้องรอว่าที่พรรคเทียบเชิญ และรอตอบรับการเชิญถึงวันที่ 8 ก.พ. ดังนั้นท่านควรตัดสินใจดีๆ ” นายจตุพร กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่นายยงยุทธ เคยพูดถึงการนำนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับประเทศด้วยการพูดคุย แต่มีกระแสตอบโต้เรื่องการให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน นายยงยุทธ กล่าวว่า มันคนละเงื่อนไขกัน นายทักษิณถูกยึดอำนาจ ถูกปฏิวัติ และถูกแจ้งข้อกล่าวหาโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จากคนที่ยึดอำนาจ ที่ไหนถูกกล่าวหาด้วยการยึดอำนาจทั่วโลกเขาจะให้ลี้ภัย เพราะเขารู้ว่าไม่มีที่ไหนบอกว่าคุณเป็นคนดีแล้วขอยึดอำนาจ เมื่อคนได้เปรียบทางการเมืองรู้ว่านายทักษิณกลับมาจะเสียเปรียบทางการเมือง ต้องมาติดคุกก่อนเป็นวาทกรรมธรรมดา แต่ในหลักประชาธิปไตยทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นอาชญากรที่ไม่ได้มาจากความจูงใจทางการเมือง เวลาจับกุมก็ใช้หมายแดง ถ้าเป็นเรื่องการเมืองเขาไม่มี พรรคเพื่อชาติมีนโยบายจะทำให้กระบวนการยุติธรรมเป็นสากล ใช้เป็นการทั่วไป สิ่งที่พวกตนมาร่วมงานอยากเห็นบ้านเมืองไปด้วยดี
“วันนี้กรณีของท่านนายกฯ ทักษิณคือตัวอย่างของกระบวนการยุติธรรมที่เกิดจากการรัฐประหาร เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดกันตามเวทีการเมือง คนที่ได้ประโยชน์เมื่อกระบวนการยุติธรรมมันกลับคืนมาสู่ระบบประชาธิปไตย ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบเผด็จการ คนที่ได้ประโยชน์คือนายกฯ ทักษิณ เพราะฉะนั้นเวลาคนถามนายกฯทักษิณกลับมาใช่ไหม ถ้าเป็นแนวทางพรรคเพื่อชาติคือพูดคุยกันเสียแบบพี่แบบน้อง อย่าไปบอกติดคุกก่อน ปัญหามันก็อยู่อย่างนี้ แต่ถ้าเรากระบวนการสอบสวนใหม่ สืบสวนได้พยานหลักฐานใหม่ แล้วคนตัดสินหรืออะไรต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยึดอำนาจ ผมเชื่อด้วยใจบริสุทธิ์ว่านายกฯ ทักษิณก็อยากกลับมา” นายยงยุทธ กล่าว
นายจตุพร กล่าวเสริมว่า กรณี คตส. ในการยึดอำนาจครั้งนี้ แกนนำของ คสช. ก็พูดคุยกับตนว่าจะไม่ยอมเดินตามคณะรัฐประหารชุดเดิมเรื่องการตั้ง คตส. เพราะถือเป็นความผิดพลาด ประชาชนไม่ยอมรับความอยุติธรรมขั้นต้น ปฏิบัติต่อนายกฯ เพียงคนเดียวเท่านั้น แม้กระทั่งคณะรัฐประหารชุดนี้ก็ยังเห็นปัญหานี้