แอมเนสตี้ยึดรางวัล “ทูตแห่งมโนธรรมสำนึก” จากซูจี พร้อมแถลง “ท้อใจ-ทรยศอย่างน่าละอาย” ปมกองทัพเมียนมาเข่นฆ่าโรฮีนญา
ทั้งนี้ องค์การนิรโทษกรรมได้ส่งจดหมายถึงนางซูจีเมื่อวันที่ 11 พ.ย.2561 ถึงการตัดสินใจยึดรางวัลที่ถือได้ว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดด้านมนุษยชนคืนกลับมา โดยในจดหมายระบุว่า
“วันนี้ เราท้อใจอย่างยิ่งที่คุณไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง, ความกล้าหาญและผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนอย่างไม่รู้จบสิ้นอีกต่อไป องค์การนิรโทษกรรมไม่อาจรับรองสถานะของคุณในฐานะผู้รับรางวัลทูตแห่งความสำนึกดีอีกต่อไป ด้วยประการนี้เราจึงขอเพิอถอนรางวัลจากคุณด้วยความเศร้าใจยิ่ง และยังเป็นการทรยศอย่างน่าละอายต่อคุณค่าที่ครั้งหนึ่งเธอเคยยืนหยัดต่อสู้” โดยจดหมายฉบับนี้ ลงชื่อโดย คูมิ ไนดู เลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากล
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานว่า นางซูจีออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าว
รางวัล ทูตแห่งมโนธรรมสำนึก ถูกมอบให้กับนางซูจีเมื่อปี 2552 ซึ่งช่วงนั้นนางซูจียังถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านพักกรุงย่างกุ้ง ลังจากที่ต่อต้านการกดขี่รัฐบาลทหารของเมียนมา จนทำให้เธอได้รับรางวัลต่างๆ มากมายในฐานะนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจรัฐบาลทหาร รวมถึงยังได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ เมื่อปี 2534
แต่เมื่อปี 2558 นางซูจีพร้อมด้วยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนมหาศาล และสามารถยุติระบอบทหารที่ปกครองเมียนมามานานหลายสิบปี
อย่างไรก็ตาม หลังจากนางซูจีก้าวเข้าสู่อำนาจทางการเมือง เธอถูกกดดันอย่างหนักจากนานาชาติ โดยเฉพาะประเด็นความล้มเหลวในการช่วยเหลือชนกลุ่มน้อยโรฮีนญา ที่ถูกกองทัพเมียนมาขับไล่ให้ออกนอกประเทศด้วยความรุนแรง และผลพวงดังกล่าวสหประชาชาติถึงกับประณามว่าเป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์ นอกจากนี้ หลายองค์กรกดดันให้เธอประณามความป่าเถื่อนของกองทัพในการกวาดล้าง แต่นางซูจีเลือกที่จะปฏิเสธการแสดงออกเช่นนั้น และยังเห็นด้วยกับการจำคุกสองนักข่าวที่ขุดคุ้ยเรื่องราวความรุนแรงที่กองทัพเมียนมากระทำต่อชาวโรฮีนญาด้วย
ผลดังกล่าว ทำให้ทางการแคนาดาได้ถอนสถานะพลเมืองกิตติมศํกดิ์ที่ได้มอบให้กับนางซูจี กระทั่งล่าสุดที่่เธอถูกยึดรางวัลใหญ่จากองค์การนิรโทษกรรมสากล
