สถานการณ์ความรุนแรงในรัฐยะไข่ ต่อชาวโรฮิงญาจนต้องมีการอพยพไปในค่ายในบังคลาเทศ 700,000 คน ยังพ่นพิษส่งผลยอดนักท่องเที่ยวลดลง
สุมอน นักข่าวเมียนมา รายงานผ่านเอฟเอ็ม 100.5 ระบุว่า สายการบินแบบฟูลเซอร์วิส ในประเทศเมียนมา ได้ปิดตัวลง 3 สายการบิน เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุน จากยอดนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวในเมียนมาไม่กระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะชาวยุโรป ที่ยังหวาดเกรงความรุนแรงต่อชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่
“ทางการเมียนมา ตั้งเป้านักท่องเที่ยวปี 2020 ไว้ 7.5 ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.2 ล้านคน ซึ่งยังไม่เพิ่มขึ้น แถมยังลดลงด้วยซ้ำ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป ที่ยังหวั่นเกรงสถานการณ์ความรุนแรงในรัฐยะไข่” สุมอน ระบุ
นอกจากสายการบิน 3 แห่ง ปิดตัวลงแล้ว มีสายการบินอีก 1 แห่งที่อยู่ในสถานการณ์ไม่ดี อาจจะปิดตัวลงตามไปด้วย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ประจำข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้เดินทางลงพื้นที่รัฐบาลยะไข่ เพื่อติดตามความคืบหน้าการนำตัวชาวโรฮิญาที่ลี้ภัยในบังคลาเทศกลับประเทศ ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น โดยสหประชาชาติ จะเข้าไปดูแล เรื่องความเป็นอยู่ สวัสดิดการ การประกอบอาชีพ ตลอดจนการศึกษา เพื่อให้ชาวโรฮิงญา สามารถเลี้ยงชีพดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเอง เนื่องจากต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่
ความรุนแรงในรัฐบาลยะไข่รอบล่าสุด เกิดความรุนแรงตั้งแต่ปลายปี 2016 ต่อเนื่องถึงในปี 2017 โดยมีการกล่าวหาว่า มีกองกำลังติดอาวุธโจมตีป้อมตำรวจและค่ายทหาร จากนั้น ได้มีการปิดล้อมหมู่บ้านโรฮิงญาหลายแห่ง จุดไฟเผา และสังหารชาวบ้านเสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้มีคลื่นอพยพไปยังบังคลาเทศ มากกว่า 700,000 คน ด้วยแรงกดดัน จากนานาชาติ เมียนมายอมรับชาวโรฮิงญากลับประเทศ แต่จะต้องมีหลักฐานความเป็นพลเมืองเมียนมา ซึ่งการดำเนินการ ยังไม่เกิดขึ้นจริงจังนักจนบัดนี้