ทั้งนี้ กองทุนหมู่บ้านมีจำนวนกว่า 70,000 กองทุน เป็นกองทุนของมุสลิมประมาณ 1,900 กองทุน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ “ที่ผ่านมากองทุนหมู่บ้านที่เป็นมุสลิมใช้หลักชารีอะห์ในการบริหารกองทุนอยู่แล้ว โดยอนุโลม ประมาณ 1,500 กองทุน ซึ่งชาวบ้านเป็นผู้เลือกในการบริหารกองทุน ซึ่งหลังจากมีการพิจารณากำหนดกฎเกณฑ์การบริหารกองทุนแบบชารีอะห์แล้ว กองทุนหมู่บ้านเหล่านี้ก็จะสามารถใช้รูปแบบการบริหารได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งในการกำหนดกฎระเบียบกองทุนหมู่บ้านตามหลักชารีอะห์ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพราะกฎหมายได้เปิดกว้างไว้แล้ว เพียงแต่นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานก็สามารถบังคับใช้ได้เลย”
ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองกล่าวและว่าส่วนพื้นที่ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่อยู่ร่วมกันระหว่างไทยพุทธและมุสลิมก็อยู่ที่การพิจารณาของชาวบ้านว่าจะเลือกรูปแบบใดในการบริหาร
นายนทีกล่าวว่า กองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมือง ในจำนวน 70,000 กว่าแห่งนี้ มีสถานะเป็นกองทุนที่ดี ระดับ A-B ประมาณ 80% และระดับ C-D ซึ่งจะต้องปรับปรุงประมาณ 20% ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ซึ่งในระดับ C-D ให้กองทุนไปดำเนินการปรับปรุงการบริหารให้มีประสิทธิภาพซึ่งจะเกี่ยวโยงกับการกระจายงบประมาณ 60,000 ล้านบาท ตามนโยบายของรัฐบาลที่อัดฉีดเข้าสู่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ให้สมาชิกไปกู้ยืมเพื่อการลงทุน โดยกองทุนในระดับ A-B จะได้รับการจัดสรรก่อน ส่วนระดับ C-D จะต้องไปปรับปรุงการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพก่อน ซึ่งกองทุนที่อยู่ในระดับ C-D ส่วนใหญ่เป็นกองทุนในเมือง กองทุนในหมู่บ้านไม่มีปัญหาเรื่องการบริหารมากนัก อาจเป็นเพราะกองทุนใช้ระบบการค้ำประกัน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็รู้จักกัน จึงไม่มีปัญหาการไม่จ่ายคืนหนี้
“งบประมาณ 60,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลอนุมัติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับหมู่บ้าน มีการพิจารณามาตั้งแต่ต้นปี 2558 แต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯ ในขณะนั้นไม่เห็นชอบให้ใช้รูปแบบปลอดดอกเบี้ย โดยรัฐเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ย เพราะมองว่าเป็นประชานิยม แต่เมื่อ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาเป็นรองนายกฯ ได้ตัดสินใจอนุมัติโครงการทันที คิดว่าจะช่วยกระจายในระดับหมู่บ้าน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เงินหมุนเวียนได้ในระดับหนึ่ง”
หมายเหตุ : จากนิตยสาร MTODAY ฉบับประจำเดือนกันยายน 2558