วันที่ 25 สิงหาคม แถลงการณ์ของสำนักงานที่ปรึกษาแห่งรัฐของนางออง ซาน ซู จี แจ้งว่า เหตุการปะทะกันระหว่างตำรวจเมียนมากับกลุ่มโรฮิงยาติดอาวุธ มีผู้เสียชีวิต 89 ราย เป็นชาวโรฮิงญา 77 ราย ตำรวจและทหารเมียนมา 12 ราย
มีรายงานว่า เมื่อคืนพฤหัสบดี 24 สิงหาคม กลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงยาประมาณ 120 คน ได้นำกำลังปิดล้อมด่านตำรวจ 24 แห่งเจากนั้นลงมือโจมตีพร้อมกัน และพยายามบุกเข้าไปในค่ายทหาร แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากกองทัพไหวตัวทันและส่งกำลังทหารออกปราบปรามกลุ่มติดอาวุธทำให้เกิดการปะทะกันดุเดือด เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 89 ราย เป็นโรฮิยา 77 ราย เจ้าหน้าตำรวจ และทหารรวม 12 นาย และมีจำนวนมากที่อพยกทำให้ สภาพเมืองหม่องดอว์ ในรัฐยะไข่ กลายเป็นเมืองร้าง แต่ทางการเมียนมา ไม่ได้ระบุว่า กลุ่มที่ลงมือในครั้งนี้เป็นสมาชิกของกองทัพกอบกู้โรฮิงยารัฐยะไข่ (เออาร์เอสเอ) ซึ่งมีแหล่งซ่องสุมกำลังอยู่บนภูเขาเมยู ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่หรือไม่
การบุกโจมตีสถานีตำรวจและค่ายทหาร เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการสังหารหมู่ 6 ศพชนเผ่าเมียว ชนกลุ่มน้อยชาวพุทธในหมู่บ้านคายยีในเมืองหม่องดอว์ เมื่อต้นเดือนส.ค. จนนำไปสู่การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งปราบปรามกลุ่มมุสลิมสุดโต่งในพื้นที่ และ้หตุล่าสุดทำให้มีทหาร-ชาวพุทธบุกโจมตีเผาหมู่บ้านโรฮิงยาและโรงเรียนสอนศาสนา
นายโคฟี อันนันอดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาความแตกแยกทางเชื้อชาติและศาสนาในรัฐยะไข่ ได้ออกมาเตือนรัฐบาลเมียนมาให้เร่งแก้ไขวิกฤติ โดยให้ผ่อนคลายการคุมเข้มกลุ่มโรฮิงยา ซึ่งเป็นการผลกดันให้พวกเขาเข้าสู่การจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาล
ทั้งนี้ เมื่อเดือนตุลาคมปี 2559 เกิดเหตุชาวโรฮิงยาติดอาวุธ ได้สังหารตำรวจตระเวณชายแดน เสียชีวิต 9 นาย ทำให้กองทัพเมียนได้ปฏิบัติการกวาดล้างมุสลิมโรฮิงยาอย่างหนัก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 106 ราย และมีพลเรือนกว่าา 80,000 คนต้องอพยพเข้าบังคลาเทศ