💐อัสลามุอลัยกุม
💝ขอเสนอคุตบะห์วันศุกร์นี้ เกี่ยวกับประเด็นโรฮิงยา
الحمد لله وحده والصلاة والسلام على من لا نبي بعده، وبعد
พี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทุกท่าน
ย้อนกลับไปในปี 2555 หลายคนเพิ่งเคยได้ยินคำว่า “โรฮิงญา” เป็นครั้งแรกในชีวิตผ่านสื่อต่างๆ เราได้รับรู้ถึงความรุนแรงและป่าเถื่อนจากรัฐบาลพม่าและชาวพม่าอนุรักษ์นิยมบางส่วนที่กระทำต่อชาวโรฮิงญาในรัฐอาระกันจนมีผู้เสียชีวิตหลายร้อยราย บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ส่วนที่เหลือต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดจากการถูกไล่สังหาร บ้างหนีไปยังพื้นที่อื่นในประเทศ บ้างก็ยอมเสี่ยงชีวิตล่องเรือออกทะเลไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่หวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากปลายทาง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ซ้ำเติมอีก มีผู้เกี่ยวข้องในขบวนการผิดกฎหมายและไร้มนุษยธรรมนี้ทั้งในประเทศต้นทางคือเมียนมา ประเทศกลางทางคือไทย และประเทศที่สามอย่างมาเลเซีย, อินโดนีเซีย บ้างก็ไปบังกลาเทศ หลายคนเสียชีวิตกลางทะเลเพราะขาดอาหาร หลายคนถูกข่มขืน ทารุณกรรมตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเรือ ช่วงที่อยู่ในเรือและแม้แต่ตอนที่ถูกต้อนเข้าไปกักตัวในค่ายค้ามนุษย์ตามชายแดนของไทยโดยเฉพาะในภาคใต้
รัฐบาลเมียนมาทั้งชุดเก่าและชุดปัจจุบันต่างมีจุดยืนเดียวกันในประเด็นชาวโรฮิงญา พวกเขาไม่ยอมรับว่าโรฮิงญาเป็นพลเมืองเมียนมา แต่บอกว่าพวกเขาคือชาวบังกลาเทศที่หลบหนีเข้าเมือง ไม่ยอมรับแม้กระทั่งการที่จะเรียกพวกเขาด้วยคำว่า “โรฮิงญา” ด้านรัฐบาลบังกลาเทศก็ปฏิเสธชาวโรฮิงญาเช่นเดียวกัน พวกเขาบอกว่าชาวโรฮิงญาเป็นพลเมืองเมียนมา ชาวโรฮิงญาอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องกลายเป็นคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ไม่มีที่ใดต้อนรับพวกเขาในฐานะเพื่อนมนุษย์เสียด้วยซ้ำแม้กระทั่งประเทศเพื่อนบ้าน ประหนึ่งเป็นกองขยะหน้าบ้านที่ต่างฝ่ายต่างกวาดไปกองไว้ที่หน้าบ้านคนอื่น
ข่าวความเดือดร้อนของชาวโรฮิงญาในประเทศเมียนมายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่รุนแรงเท่าในปี 2555 ก็ตาม จนกระทั่งเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่าชาวโรฮิงญากลุ่มหนึ่งได้หยิบอาวุธขึ้นเพื่อต่อสู้กับทหารเมียนมา พร้อมเชิญชวนให้ผู้ที่มีความสามารถเข้าร่วมต่อสู้ด้วยกัน จากนั้นก็มีข่าวโจมตีด่านชายแดน 3 แห่ง เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 9 นาย จากนั้นก็มีทหารระดมกำลังเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเป็นแนวชายแดนติดบังกลาเทศพร้อมประกาศกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญา บางช่วงของการปะทะกองทัพเรียกเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธเข้ามายังหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองมองดอจนมีชาวโรฮิงญาเสียชีวิตนับสิบราย กองทัพได้ประกาศห้ามสื่อเข้าไปสังเกตการณ์และทำข่าวในพื้นที่ ตลอดจนห้ามทุกหน่วยงานเข้าไปส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งด้านหาอาหาร เงิน และโภชนาการ ทำให้ประชาชนกว่า 150,000 คนในพื้นที่ดังกล่าวต้องอยู่อย่างลำบากในสภาพที่ถูกปิดล้อม
สื่อต่างประเทศที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับเมืองมองดอรายงานข่าวว่าทหารเมียนมาข่มขืนและทำร้ายเด็กและสตรีโรฮิงญา ซึ่งทางการเมียนมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว ตลอดจนข่าวการเผาบ้านเรือนของชาวโรฮิงญาในหลายหมู่บ้านของเมืองมองดอ แต่ทางการก็ปฏิเสธเช่นเดียวกัน จนกระทั่งฮิวแมนไรท์วอชได้นำเสนอภาพถ่ายดาวเทียมเป็นหลักฐานว่าบ้านเรือนของชาวโรฮิงญาถูกเผาทำลายกว่า 1,200 หลัง เจ้าหน้าที่จากองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ที่เป็นหน่วยงานด้านการย้ายถิ่นองสหประชาชาติเปิดเผยว่า มีผู้คนมากกว่า 500 คน เข้ามาที่ค่ายพักของหน่วยงานที่ตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้ชายแดนบังกลาเทศ-เมียนมาเมื่อวันจันทร์ (21 พ.ย.)
สหประชาชาติคาดการณ์ว่า เวลานี้มีผู้คนมากถึง 30,000 คน เป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย และอีกหลายพันคนได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้น หน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาร์ อนุญาตให้หน่วยงานเข้าไปในพื้นที่เพื่อแจกจ่ายความช่วยเหลือ พร้อมทั้งขอร้องให้รัฐบาลบังกลาเทศ เปิดชายแดนให้กับผู้ลี้ภัยเหล่านี้
พี่น้องผู้ศรัทธาทุกท่าน นี่คือเรื่องราวโดยสรุปในช่วงเกือบ 5 ปีนี้ที่ชาวโรฮิงญา คนไร้รัฐต้องประสบ เราในฐานะมุสลิมที่ศรัทธาและเชื่อฟังต่อคำสั่งสอนของอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ ย่อมตระหนักถึงความเป็นพี่น้องและภาระหน้าที่ที่ต้องมีต่อพี่น้องของเรา ดังหะดีษที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
(( الْمُسْلِمُ أَخُو الْمُسْلِمِ لَا يَظْلِمُهُ وَلَا يُسْلِمُهُ وَمَنْ كَانَ فِي حَاجَةِ أَخِيهِ كَانَ اللَّهُ فِي حَاجَتِهِ وَمَنْ فَرَّجَ عَنْ مُسْلِمٍ كُرْبَةً فَرَّجَ اللَّهُ عَنْهُ كُرْبَةً مِنْ كُرُبَاتِ يَوْمِ الْقِيَامَةِ )) رواه البخاري
ความว่า “มุสลิมกับมุสลิมนั้นเป็นพี่น้องกัน (ด้วยสายเชือกแห่งอิสลาม) เขาจะไม่อธรรมต่อพี่น้องของเขา และจะไม่ทอดทิ้งให้พี่น้องของเขาถูกผู้อื่นอธรรม ใครก็ตามที่จัดการธุระให้แก่พี่น้องของเขา อัลลอฮฺก็จะจัดการธุระของเขาให้ และใครก็ตามที่บรรเทาทุกข์ให้พี่น้องมุสลิมของเขาจากความทุกข์หนึ่งของโลกนี้ อัลลอฮฺก็จะบรรเทาทุกข์ให้แก่เขาจากบรรดาความทุกข์ทั้งหลายในวันกิยามะฮฺ” (บันทึกโดยอัลบุคอรี)
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ทุกวันนี้เราจะมีปากเสียงกับคนในครอบครัว แต่พี่น้องโรฮิงญาหลายคนไม่เหลือครอบครัวให้มีปากเสียงอีกแล้ว พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง กระจัดกระจายหนีตายไปคนละทิศคนละทาง, เรามีอาหาร เครื่องดื่ม อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้าง ครบ 3 มื้อบ้าง ไม่ครบบ้าง แปลกใหม่บ้าง จำเจบ้าง แต่พี่น้องโรฮิงญาแทบจะไม่มีอาหารยาไส้และเครื่องดื่มดับกระหาย, เรามีบ้านที่อาจจะเก่าซอมซ่อ หรือห้องเช่าขนาดเล็กที่ไม่ได้สะดวกสบายนัก แต่พี่น้องโรฮิงญาไม่มีแม้สังกะสีที่จะใช้กันแดนกันฝน ไม่มีแม้กระท่อมเล็กๆ ให้ซุกหัวนอนอย่างปลอดภัยหลังถูกไล่เข่นฆ่าและเผาทำลาย… เราอาจจะคิดว่าเราลำบากมาโดยตลอด แต่เมื่อมองไปยังพี่น้องโรฮิงญาแล้ว พวกเขาลำบากกว่าเราใช่หรือไม่?
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย หลังคุฏบะฮฺในวันนี้ ผมมีทางเลือกหลากหลายให้พี่น้องได้ปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือพี่น้องของเราเหล่านี้
1.ขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ อย่างบริสุทธิ์ใจและนอบน้อม ให้พระองค์ช่วยเหลือพี่น้องของเราในเมียนมา ให้รอดพ้นจากการถูกอธรรม โดยเฉพาะการขอดุอาอ์ในช่วงเวลามุสตะญาบ เช่น ระหว่างอะซานกับอิกอมะฮฺ, เศษ 1 ส่วน 3 สุดท้ายของเวลากลางคืน, ช่วงท้ายของวันศุกร์ก่อนเข้าเวลามัฆริบและช่วงเวลาที่ฝนตก ฯลฯ
2.ติดตามข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ แล้วค่อยเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องต่อไปทั้งในสื่อสังคมออนไลน์หรือแม้แต่การแจกใบปลิว หรือจัดบรรยายตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมหรือความตระหนักรู้แก่สมาชิกของสังคมที่ยังคงหลับไหล ไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม เพราะมนุษยธรรมเป็นเรื่องสากลที่ทุกคนเข้าใจได้
3.ร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือชาวโรฮิงญา โดยบริจาคผ่านองค์กรที่เราเชื่อถือว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะไปถึงมือพี่น้องของเราที่กำลังเดือดร้อนจริงๆ ไวท์แชนแนลและมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติก็อาสาทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวโรฮิงญาเช่นกัน หากพี่น้องสะดวกก็ติดต่อผ่านเราได้
4.เข้าร่วมแสดงความเห็นหรือเป็นทีมงานของกลุ่มต่างๆ ที่เคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวโรฮิงญาตามความสามารถและความสบายใจของเรา ภายใต้กรอบของหลักการศาสนาและกฎหมาย
พี่น้องผู้ศรัทธาที่เคารพรักทุกท่าน ทุกคนมีหน้าที่และทุกคนต้องถูกสอบสวนตามหน้าที่ของเขา วันนี้พี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงของเรากำลังลำบากและร้องขอความช่วยเหลือ เราได้ตอบรับพวกเขาด้วยการทำหน้าที่ของเราแล้วหรือไม่ นี่น่าจะเป็นหนึ่งในคำถามที่เราจะต้องเตรียมคำตอบไว้ใช้ในวันแห่งการพิพากษา
هذا وأقول وأستغفر الله لي ولكم ولسائر المسلمين من كل ذنب فاستغفروا إنه كان غفارًا
เรียบเรียงโดย อับดุลฟัตตะฮ ยิดนรดิน