สะเทือนวงการ!แย้มข้อมูล DSI โต๊ะครูจานดำไม่รอด คดีกองทุนโกงชาวบ้าน
รายงานพิเศษ โดยกองบรรณาธิการ Mtoday
“กองทุนทีวีจานดำ”เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคมมุสลิม เพราะมีมูลค่าการลงทุนสูง มากกว่า 300 ล้านบาท มีผู้เสียหายมากมายหลายร้อยคน สังคมอยากรู้ว่า มีการดำเนินคดีไปถึงไหน ใครมีความผิดบ้าง ข้อหาอะไร จะติดคุกคนละกี่ปี Mtodayไปหาคำตอบมาให้รับทราบกัน
“กองทุนทีวีจานดำ”ก่อตั้งโดยผู้บริหารทีวีจานดำมุสลิมช่องหนึ่ง ระดมทุนจากพี่น้องมุสลิม กองทุนแรก 300 ล้านบาท กองทุนที่ 2 อีก 300 ล้านบาท แต่ไม่สำเร็จ เรื่องแดงมาก่อน มีผู้ร่วมทุนประมาณ 80 ล้านบาท รวมทั้งหมดประมาณ 380 ล้านบาท
กองทุนทีวีจานดำ ระดมทุนโดยอาศัยความเป็นสื่อทีวีและความน่าเชื่อถือของโต๊ะครูระดับตำนาน ที่คนในสังคมมุสลิม เชิญชวนมาลงทุนกิจการหลายอย่าง อาทิ กิจการซื้อขายยางพารา, กิจการอาหารทะเล, กิจการประมงประเทศโซมาเลีย ,กิจการหมู่บ้านจัดสรร, กิจการค้าปลีก, กิจการคลินิกการแพทย์ และโรงไก่ เลี้ยงและขายไก่ เป็นต้น สังคมมุสลิมให้ความเชื่อถือบรรดาโต๊ะครูที่พูดเชิญชวน เข้าร่วมการลงทุนหลายร้อยคน ตัวเลขไม่ชัดเจน แต่ที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตัวเลขประมาณ 130 คน มูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท แต่มีผู้ร่วมลงทุนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดี ด้วยหวังว่า หากไม่แจ้งความแล้ว อาจจะได้รับเงินคืนก่อน ผู้เสียหายกระจายทั่วประเทศ กรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ และจำนวนมากที่ภาคใต้
การดำเนินกิจการของกองทุนทีวีจานดำ ล้วนประสบความล้มเหลว มีปัญหาเกือบทุกโครงการ มีเพียงโรงไก่เพียงแห่งเดียว ที่ประสบความสำเร็จ มีกำไรงวดละประมาณ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 2 เดือน 1 ปีประมาณ 6 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอจ่ายให้กับผู้เสียหาย 380 ล้านบาท ที่จะต้องใช้เวลานับ 100 ปี
ระยะเวลา ปี 2 ปีแรก กองทุนจ่ายปันผลให้กับผู้ร่วมลงทุนปีละ ประมาณ 7% หักส่วนหนึ่งไว้บริหารทีวี ได้สร้างความมั่นใจให้กับผู้ร่วมลงทุน นำเงินมาลงทุนเพิ่ม ส่วนที่ครบสัญญาก็ยังไม่ถอนเงิน ต้องการลงทุนต่อ โต๊ะครูก็ยิ่งโหมกระโคมชวนคนมาลงทุน แต่เมื่อเข้าไปถัดๆมา เริ่มไม่จ่ายปันผล จ่ายเพียงบางคน ทำให้มีการแจ้งความดำเนินคดีมาประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมา
“ช่วงนั้น มีรัฐบาลเป็นนักการเมือง ผู้บริหารDSI (นายธาริษ เพ็งดิษฐ์) เป็นคนของนักการเมือง มีการเชิญผู้บริหารกองทุนมาให้ปากคำ ซึ่งผู้บริหารกองทุนเป็นคนของพรรคการเมือง เมื่อมาให้ปากคำถ่ายรูปกับผู้บริหารDSi ภาพถูกนำไปขยายต่อว่ากองทุนไม่มีปัญหา ทำให้คนยิ่งเชื่ออีก คดีไม่มีความคืบหน้าเพราะมีการช่วยเหลือกัน เมื่อมีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวน ผู้เสียหายจำนวนหนึ่งจึงไม่มาให้ปากคำ เพราะกลัวจะเหมือนเดิม ให้ปากคำแล้วคดีไม่มีความคืบหน้า” พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลาการ ผู้อำนวยการสำนักคดีพิเศษ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษให้ข้อมูล
ภายหลังเปลี่ยนผู้บริหารกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปลี่ยนพนักงานสอบสวนได้มีผู้เสียหายมาแจ้งความเพิ่มเติม ต้องใช้เวลาในการสอบสวนให้ครบทุกคน โดยคดีได้รับความเห็นชอบให้เป็นคดีพิเศษแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2560
“คดีอาจจะล่าช้า เพราะผู้เสียหายส่วนหนึ่งไม่ยอมมาให้ปากคำ และเจ้าหน้าที่เอง จะต้อวเร่งคดีที่มีการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว ต้องเร่งสอบปากคำ ทำสำนวนเสนออัยการให้ทันตามเวลาที่กำหนด แต่ได้สอบปากคำไปแล้วประมาณ 70 ปาก ในพื้นที่กทม. และภาคกลาง และจะยกทีมลงไปสอบปากคำผู้เสียหายที่ภาคใต้ให้แล้วเสร็จภายในคราวเดียว ประมาณ 50 ราย ส่วนพื้นที่อื่นก็จะกระจายให้สอบปากคำ” พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลาการ
ขณะเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หลังจากนั้นก็จะอายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อยู่ระหว่างรอปปง.ส่งข้อมูลมาให้ คงใช้เวลาไม่นาน
ส่วนผู้ที่อยู่ข่ายต้องถูกดำเนินคดี ประกอบด้วย ผู้เชิญชวนคนมาลงทุน (บรรดาโต๊ะครู), ผู้ที่ไปรับเงินจากชาวบ้าน,ผู้รับเงิน,ผู้ได้ส่วนแบ่ง ตลอดจนคนทำบัญชี เมื่อสอบปากคำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงจะแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน คาดว่า จะใช้เวลาอีกประมาณ 3-4 เดือน แต่ก็ขึ้นอยู่ว่า จะมีคดีเร่งด่วนอะไรเข้ามาอีกหรือไม่
“ โทษของคดีนี้ ต่างกรรมต่างวาระ อาจะต้องติดคุกคนละ 500 ปีมั่ง อันนี้แล้วแต่ศาล จะพิจารณา ซึ่งก็สมควรแล้ว ที่จะมีคนติดคุก เพราะดูจากพฤติกรรมถือว่า เลวร้ายมากที่ใช้ความศรัทธาของคนมาแสวงหาประโยชน์” เขา กล่าว ให้ข้อมูล
ซึ่งล่าสุดเมื่อ 28 มิถุนายน ทีมพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ DSI นำโดย พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ1 เข้าตรวจค้นสถานีโทรทัศน์ TMTV เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมมาดำเนินคดี แม้จะไม่ได้ข้อมูลหลักฐานเพิ่มอะไรมากนัก แต่ก็เป็นข้อมูลในการนำมาสรุปสำนวนคดีต่อไป
จากข้อมูลจากพนักงานสอบสวนคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ คดีฉ้อโกงประชาชน ของกองทุนทีวีจานดำ อีกไม่นาน อย่างช้าสุดสิ้นปีนี้ คงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
หมายเหตุ: จากนิตยสาร Mtoday ฉบับเดือนมิถุนายน 2560