‘สว.นวลนิจ’ จ่อลุยยกเครื่องกฎหมาย แก้ปัญหาพระถูกจับสึกฟรี! กรณีคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามพระยาให้ ‘พระพรหมดิลก’ หลังพ้นมลทินปมเงินทอนวัด
วันที่ 21 สิงหาคม 2567 นางสาวนวลนิจ หงษ์วิวัฒน์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณี การคืนตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามพระยาให้พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) ภายหลังพ้นมลทินจากการตกเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวกับคดีเงินทอนวัดว่า เป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์วงการคณะสงฆ์ไทยที่พระถูกกระชากจีวรฟรีๆ โดยไม่มีความผิดขณะที่เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย แต่ยังนับว่าโชคดีที่ท่านไม่ได้เปล่งวาจาลาสิกขา และยังดำรงตนอยู่ในสมณเพศเช่นเดิมแม้ถูกจองจำ อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะสำหรับพระภิกษุสงฆ์นั้นการถูกจับสึกโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุดเปรียบเสมือนการถูกประหารชีวิตในทางธรรม ที่ผ่านมาทั้งกรณี ‘พระพิมลธรรม’ หรือกรณี ‘3 พระพรหม’ น่าจะเป็นบทเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงกฎหมายและแนวทางปฏิบัติสำหรับการดำเนินคดีพระภิกษุที่เป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาให้ทันสมัย สอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญนางสาวนวลนิจ กล่าวอีกว่า ตนในฐานะนักกฎหมายมองว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 29 และมาตรา 30 ที่บังคับพระภิกษุสละสมณเพศก่อนศาลตัดสินคดีโดยไม่จำเป็น รวมถึงตำรวจใช้ยุทธวิธีการจับพระที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ พระภิกษุไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ขาดโอกาสเสาะแสวงหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ขณะเดียวกัน ต้องถือว่าพระภิกษุอยู่ในสถานะนักบวชในพระพุทธศาสนา ถือเป็นอุดมเพศที่ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งต้องมีเจ้าคณะผู้ปกครองตามลำดับชั้น เข้ามาดำเนินการทางพระวินัย กล่าวคือ ต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของพระภิกษุที่เป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ทั้งทางโลกและทางธรรมให้ถูกต้องตามสมณสารูป เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยยึดหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด“ภาพของพระที่ต้องถูกกระชากจีวรหรือถูกจับสึกฟรีโดยที่ท่านไม่ได้ทำผิดพระธรรมวินัยถึงขั้นต้องขาดจากความเป็นพระ และคดีทางโลกก็ยังไม่ถึงที่สุด เป็นภาพที่สะเทือนใจชาวพุทธอย่างยิ่ง และบั่นทอนสถาบันศาสนา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ กรณีหลวงพ่อวัดสามพระยานั้น ส่วนตัวแม้จะรู้สึกปลาบปลื้มใจที่ท่านพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่ก็ยังหวั่นใจว่ายังมีพระอีกหลายรูปที่ต้องตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกับท่าน ดังนั้น ตนในฐานะ สว.จึงจะขอผลักดันเรื่องนี้เข้าสู่การแก้ปัญหาระยะยาวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป” นางสาวนวลนิจ กล่าว.