นิยายการเมืองว่าด้วยคดี”ทักษิณ-เศรษฐา” โยง “ซูเปอร์ดีล” ก่อนจัดตั้งรบ.

สปอตไลต์การเมืองไทยฉายจับไปที่ 18 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันที่สำนักงานอัยการสูงสุดนัดอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เพื่อพาตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

เพราะ “คอการเมือง” ทั้งประเทศเชื่อว่านับตั้งแต่คุณทักษิณกลับประเทศไทยในวันเดียวกับที่คุณเศรษฐา ทวีสิน ชนะโหวตจาก สว.สายลุงตู่ ขึ้นเป็นนายกฯ มี “บิ๊กดีลการเมือง” ระดับ “ซูเปอร์ดีล” ผูกมัดและกำหนดเงื่อนไขกันอยู่

ฉะนั้นเมื่อทุกอย่างเริ่มจะไม่ราบรื่น จึงมีเสียงถามกันว่า “ซูเปอร์ดีล” ถูกล้มแล้วหรือไม่ สาเหตุเพราะที่ผ่านมาอดีตนายกฯก็เคลื่อนไหวเลยธงหลายเรื่อง โดยเฉพาะการไปจุ้นเรื่องกิจการต่างประเทศ ทั้งพบปะหารือกับผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา พร้อมเสนอตัวเป็น “คนกลาง” เจรจาสันติภาพ ยุติสงครามกลางเมือง

และการพบหารือกับผู้นำมาเลเซีย เพื่อหยุดปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นปัญหาภายในของไทยเอง

กล่าวกันว่า “เมื่อเลยธงหนัก จึงต้องหักดีล” และวันที่ 18 มิ.ย.นี้ เป็นดาบแรก โดยมีนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ถูกยื่นคำร้องเป็นตัวประกันทางการเมืองในศาลรัฐธรรมนูญอยู่ก่อนแล้ว

ตรวจแถวความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองล่าสุด พบว่าคำตอบว่าด้วย “ความจำเป็น” ของ “ก๊กอำนาจเก่า-อนุรักษ์นิยม” ที่ยังหาผู้นำของตัวเองไม่ได้ และยังผวาพรรคส้มอยู่ ฟังดูแล้วมีเหตุผลและน้ำหนักมากพอที่จะต้องใช้บริการ “เศรษฐา-ชินวัตร” ต่อไป

ทำให้บทสรุปของ “นิติสงคราม” รอบนี้อาจจบแบบวิน-วิน

คดีคุณทักษิณ น่าจะได้ประกัน และหลุดในชั้นศาล

คดีคุณเศรษฐา น่าจะรอดด้วยคาถาของอาจารย์วิษณุ เครืองาม

นี่คือเรื่องราวที่เล่ากันกระหึ่ม ดังไปถึงต่างประเทศที่ฟังข่าวแล้วก็อัศจรรย์ใจกับ “การเมืองสารพัดดีล” แบบไทยๆ

เราสอบถามไปยัง “คนที่รับรู้เรื่องดีล” ซึ่งอยู่ในแวดวงราชการ ทราบการเจรจาต่อรองมาโดยตลอด สรุปได้แบบนี้

1.รอบนี้ไม่มี “ดีล” (หมายถึงคดี 112 ของคุณทักษิณ และคดีสอยนายกฯเศรษฐา) โดย “คนในดีล” เล่าว่า ได้ตรวจสอบจากทุกแหล่งที่เกี่ยวข้อง และน่าจะรับรู้ ยืนยันว่าไม่มี “ใบสั่ง” หรือ “ดีลลับ” ใดๆ ทั้งสิ้น

2.ทั้งสองคดีมีที่มาต่างกัน กล่าวคือ คดี 112 ของอดีตนายกฯ

– เป็นคดีเดิมที่อัยการสูงสุดท่านเดิม “มีคำสั่งฟ้องไว้แล้ว”

– การจะเปลี่ยนแปลงคำสั่ง ต้องมีพยานหลักฐานใหม่

– ยังไม่มีพยานหลักฐานใหม่ที่มีน้ำหนักมากพอให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง

ส่วนจะเป็นเพราะมั่นใจแบบผิดๆ เพราะนายทุนหรือเจ้าสัวคนไหนไปหลอกตามที่มีกระแสข่าว ทางฝ่าย “คนในดีล” ไม่ขอรับรู้

แต่สิ่งที่ “คนในดีล” รับรู้ก็คือ อดีตนายกฯทราบข้อเท็จจริงนี้อยู่แล้วว่าอัยการสูงสุดคนเดิมมีความเห็นสั่งฟ้อง สถานะคดีมีความเสีึ่ยงที่จะถูกสั่งฟ้อง

และคดีนี้ยังมีช่องทางต่อสู้ในชั้นศาล เพราะพยานหลักฐานค่อนข้าง “บาง” คือน้ำหนักน้อย คำพูดที่ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศมีลักษณะพาดพิง แต่ยังไม่ถึงกับ “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” โอกาสที่ศาลจะยกฟ้องมีสูง

โอกาสได้ประกันระหว่างต่อสู้คดีก็มีสูง เพราะเป็นมาตรฐานปกติของศาลยุติธรรมอยู่แล้ว

ส่วนคดีของนายกฯเศรษฐา

– มีโอกาสโดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้หลุดจากเก้าอี้ ในระดับ 50-50 เลยทีเดียว

– คดีนี้มีความอ่อนไหว และต้องสร้างบรรทัดฐานการแต่งตั้งรัฐมนตรี หากวินิจฉัยว่าการตั้งคุณพิชิต ไม่ผิด จะกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในอนาคตหรือไม่

– ทางรอดต้องใช้เทคนิคกฎหมาย แนวๆ แพ้ฟาวล์ เช่น ฟ้องผิดศาล หรือไม่มีอำนาจไต่สวน ตามที่นายกสมาคมทนายความฯ ชี้ช่อง (แต่ก็รับคดีมาแล้ว – ทำให้ไปต่อยาก)

2.เมื่อไม่มีดีลใหม่ ทุกฝ่ายก็ต้องรับผลจากการกระทำ (จากดีลเดิม ซึ่งมีดีลเดียวเท่านั้น คือ ซูเปอร์ดีล)

– เริ่มจากอดีตนายกฯ เคลื่อนไหวเลยธง ก็ต้องรับผลไป เช่น คะแนนนิยมตก ฝ่ายอนุรักษนิยมออกมาเขย่า สว.ตัวตึง สายลุง ออกมาเคลื่อนไหว ฯลฯ

แต่ทั้งหมดไม่มีใบสั่งจาก “ผู้มีอำนาจตัวจริงในบ้านเมือง” เป็นความเคลื่อนไหวต่อสู้กันทางการเมืองล้วนๆ

– ฝ่ายอนุรักษนิยม ก็ต้องยอมรับผลจาก “ดีลเดิม – ซูเปอร์ดีล” ที่พวกตัวเองสนับสนุน (ตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เปิดทางเพื่อไทย + ทักษิณ สกัดส้ม) การเคลื่อนไหวเลยธงของอดีตนายกฯ หรือความฮึกเหิมของเพื่อไทย ก็ต้องแก้กันเองด้วยการเมือง

– คดีของนายกฯเศรษฐา หากต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็หานายกฯใหม่ เป็นไปตามขั้นตอนทางการเมือง ส่วนจะช่วงชิงกันอย่างไร เป็นเรื่องของฝ่ายการเมืองล้วนๆ

3.คำว่า “อำนาจเก่า” ไม่ได้หมายถึง “2 ป.” เพราะทั้งคู่ไม่มีอำนาจสั่งใครได้อีกแล้ว สั่งผู้นำเหล่าทัพ ข้าราชการไม่ได้เลย เพราะในความเป็นจริงหมดอำนาจไปแล้ว การเคลื่อนไหวของเครือข่าย 2 ลุง มาจาก…อ้างกันเอง และ/หรือพยายามสั่งในบางกรณี เท่าที่พลังยังพอมี

4.การเคลื่อนไหว “เลยธง” ของคุณทักษิณ โดยเฉพาะเรื่องการต่างประเทศ ไม่ได้ทำให้ฝ่ายความมั่นคงกังวล และไม่กระทบกับงานความมั่นคงมากมายนัก เนื่องจากมองเป็น “การทูตทางข้าง” ซึ่งเคยทำมาตลอด และประเมินได้อยู่แล้วว่าจะไม่เกิดมรรคผลใดๆ ทั้งปัญหาเมียนมา และไฟใต้

5.ไม่มีสัญญาณเปลี่ยนขั้วรัฐบาล ข้อนี้เป็นไฮไลต์ โดย “คนในดีล” ยืนยันว่า นายกฯเศรษฐายังคงเป็นตัวเลือกเดียวที่มีอยู่ ในสภาพที่ไทยกำลังเผชิญปัญหาเศรษกิจรุมเร้าหนักมาก การเปลี่ยนม้ากลางศึก มีแต่ผลเสีย

ฟังอย่างนี้คงพอรู้คำตอบสุดท้ายกันแล้ว

“คนในดีล” ฝากอธิบายด้วยว่า การดีลระดับ “ซูเปอร์ดีล” ไม่ใช่จะมานัดเจอกันทุกสัปดาห์ หรือตอบโต้กันเป็นอีเวนต์เพราะเป็นการเจรจาระดับสุดยอด และเฉพาะประเด็นสำคัญจริงๆ ไม่มีลงรายละเอียดอะไร เป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายรู้ว่าต้องทำอะไร และถ้าผิดไปจากดีลใหญ่ ก็รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร

ฉะนั้นที่วิเคราะห์คาดการณ์กัน ส่วนใหญ่เป็นนิยาย!