“จตุพร” มั่นใจ”ภท.”ล็อคคอ”พท.” ตั้งรัฐบาล”ข้ามขั้ว” หวั่นอาการเป๋ จะหวนคืนไปหา”ก้าวไกล” ชี้ แต้มการเมืองดิ่งติดลบ ฉะพูดมาได้ “ไล่หนูตีงูเห่า” แค่เทคนิคหาคะแนนเสียง เชื่อได้เสียงไม่เกิน 250 อย่าหวัง “ปชป.” ต้องฝ่าด่านปัญหาระหว่างพรรค ยากจะมาร่วมได้ราบรื่น ชี้ ถ้าไม่มี”พรรคสองลุง” มาร่วม ก็ไม่ได้เสียง สว.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ขยับ?” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ระบุว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยขยับตั้งรัฐบาล จึงทำให้เห็นตรรกะเพี้ยนๆ หวังอธิบายเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ที่สำคัญไม่มีสำนึกของประชาชนหลงเหลืออยู่ ดังนั้นถ้าเพื่อไทยเป็นบริษัท พฤติกรรมทางการเมือง ย่อมชวนให้คิดว่าเจ้าของกำลังจะปิดกิจการหรือไม่
นายจตุพร กล่าวว่า กรณีพรรคเพื่อไทย 141 เสียง แถลงกับพรรคภูมิใจไทย 71 เสียง จับมือตั้งต้นเริ่มตั้งรัฐบาล 212 เสียง อย่างไรก็ตาม พรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่พรรคหมูสนามทางการเมือง โดยจะเห็นว่ายังยึดหลัก “3 ไม่” ร่วมรัฐบาล คือ ไม่แก้ ม.112 ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ ไม่เอาพรรคก้าวไกล ซึ่งหลักการนี้พรรคภูมิใจไทยพูดย้ำเหมือนเดิมถึง 3 ครั้งแล้ว สิ่งที่น่าสนใจ คือ ทำไมพรรคภูมิใจไทยต้องมาแถลงจับมือกับพรรคเพื่อไทยเริ่มต้นตั้งรัฐบาลด้วยกัน คือ เป็นการมาเพื่อล็อกล้อพรรคเพื่อไทยให้อยู่คาที่ไว้ เนื่องจากเริ่มมีเสียงเสนอให้เพื่อไทยเมื่อไปข้างหน้าไม่ได้ ก็กลับไปร่วมกับพรรคก้าวไกลตามเดิม
“ถ้าไม่เริ่มล็อคเพื่อไทยเอาไว้แล้ว หลายวันที่ผ่านมาอาการ สส.เพื่อไทยเริ่มเป๋ไปมา จิตใจรวนเร อ้างประชาชนอึดอัด ไม่พอใจเพื่อไทย ไปจับมือข้ามขั้วตั้งรัฐบาล ดังนั้นพรรคภูมิใจไทยจึงต้องมาสำแดงไม่ให้เพื่อไทยเหลือเยื่อใยกลับไปหาก้าวไกลได้อีก การแถลงจับมือตั้งรัฐบาลจึงมัดเพื่อไทยไม่อาจกลับหลังไปได้แล้ว”
นายจตุพร กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย รู้จักพรรคเพื่อไทยดีที่สุด รู้ถึงความเขี้ยวของพรรคนี้ และเจ็บปวดกับนายทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่สมัยอยู่ร่วมในพรรคพลังประชาชน สิ่งนี้พรรคภูมิใจไทยเท่าทันทางการเมืองของเพื่อไทย จึงตอกย้ำหลักการ “3 ไม่” เหมือนเดิมในการร่วมรัฐบาล“ส่วนเพื่อไทยกลับมีหลักยึดไม่เหมือนเดิม พิจารณาจากการอธิบายทางการเมืองด้วยตรรกะเพี้ยน โดยเปลี่ยนยุทธการไล่หนูตีงูเห่า เป็นเพียงเทคนิคให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงเท่านั้น ไม่ได้เป็นศัตรูกัน เท่ากับขอโทษภูมิใจไทยกลายๆนั่นเอง และการพูดเช่นนี้ย่อมเป็นความฉิบหายอย่างหนักของเพื่อไทยแล้ว”
อีกทั้งสงสัยว่าพรรคเพื่อไทยเดินมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร โดยกล้าพูดและไม่มีความอับอายและขายขี้หน้ากับคำพูดที่แตกต่างเป็นตรงกันข้ามเมื่อครั้งหาเสียง จึงเท่ากับเสียคนกันทั่วหน้าและพร้อมกันทั้งพรรค
นายจตุพร ย้ำว่า ในทางการเมืองนั้น เพื่อไทยเป็นพรรคที่มีความอยากได้อะไรแล้วต้องพูดเอาแต่ได้ทุกอย่าง แม้แต่การพูดพร้อมรับทุกคะแนนที่มาโหวตให้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการร่วมรัฐบาล จึงเป็นการแสดงความหน้าด้านทางการเมืองออกมาล่อนจ้อน เพราะที่สำคัญสิ่งที่พูดนั้น มันไม่มีอยู่จริงทางการเมือง
ส่วนเพื่อไทยบอกว่ารวมเสียงตั้งรัฐบาลได้เกิน 250 เสียงจาก 500 เสียงนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อยังปฏิเสธไม่มีพรรคสองลุง คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 40 เสียง กับรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 36 เสียง ดังนั้นเพื่อไทยต้องนับรวมเสียงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 25 เสียงด้วย เพราะถ้าไม่รวมเสียง ปชป.จะไม่ถึงเกินครึ่ง
“แต่ ปชป.ยังมีปัญหาทั้งสองฝาก โดย ปชป.นักการเมือง จะมีปัญหาภายในกันเอง และเพื่อไทยจะมีปัญหาระหว่างประชาชน พรรคการเมือง และนักการเมือง จึงไม่ง่ายเลย ดังนั้นการแถลงจับมือตั้งรัฐบาลวันนี้จึงทำให้การหย่าระหว่างเพื่อไทยกับก้าวไกลถลำเลยเถิดจนมีผลสมบูรณ์แล้ว กองเชียร์ก้าวไกลไม่ควรพูดดึงให้กลับใจมาอยู่ตามเดิมอีก”
นายจตุพร กล่าวว่า หลังจากนี้เพื่อไทยจะจับมือกับพรรคใดต่อ เป็นพรรคชาติไทยพัฒนา (ชพน.) พรรคประชาชาติ อย่างไรก็ตามถ้าไม่มี ปชป.และไม่มีพรรคสองลุงเสียงย่อมไม่เกิน 250 เสียงอยู่ดี จึงเป็นการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่างแน่นอน อีกอย่างถ้าไม่มีสองลุง สว.จะไม่โหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ“ดังนั้นความเป็นไปได้ของแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยจึงติดลบ เป็นพรรคขาดทุน ถามจริงรู้ตัวกันหรือยัง ยังสบายดีและปกติกันดีกันหรือไม่ ส่วนพรรคภูมิใจไทย มาจับมือด้วยไม่มีการขาดทุน แต่มาเพื่อรับคำขอโทษจากยุทธการไล่หนูตีงูเห่า ว่า เป็นแค่เทคนิคหาคะแนนเสียงของเพื่อไทย ดังนั้น เพื่อไทย ถ้าเป็นคนก็อยู่ในสภาพชีวิตบัดซบแล้ว”
นายจตุพร กล่าว และว่า นายเศรษฐา ต้องคิดใหม่ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องยากมากทั้งกรณีหาเสียงแก้ ม.112 ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคลุงยุดอำนาจ และ ถูกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงการซื้อที่ดินเลี่ยงภาษี ย่อมบ่งบอกถึงความเหนื่อยทางการเมืองที่ต้องฝ่าด่าน สว. ประกอบกับเมื่อไม่มีสองพรรคลุงมาร่วมหนทางเป็นนายกฯ ยิ่งลำบากอย่างยิ่ง
“นับจากนี้จะมีแต่ความบัดสีทางการเมืองมากขึ้น แล้วจะหันกลับไปที่จุดเริ่มต้นกันอีก คือ เป็นจุดของการอยากกลับบ้านอย่างเท่ๆ และเมื่อประเมินการเดินทางการเมืองของเพื่อไทย หากเป็นบริษัทแล้วเหมือนเจ้าของหวังจะปิดกิจการหรือไม่ ซึ่งน่าคิดมาก เพราะเรื่องแบบนี้ถ้าเป็นคนธรรมดาจะไม่ทำกัน ตราบใดยังไม่สามารถข้ามพ้นได้กับการกลับบ้านอย่างเท่ๆ ก็จะเจอปรากฏการณ์แบบนี้ เพราะวันนี้ปฏิบัติการของเพื่อไทยนั้น เชื่อว่าถ้าเป็นคนปกติจะไม่กล้าทำในสถานการณ์แบบนี้เลย”
นายจตุพร กล่าวว่า การประเมินและวิเคราะห์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยได้ถูกต้องนั้น ต้องเริ่มจากการให้ค่าพรรคนี้ต่ำสุด และ ต้องตั้งฐานคิดแบบพรรคกระจอก ไม่มีเกียรติยศ จึงจะรู้ไส้เห็นพุงกันหมดทุกขด จึงเกิดการเรียนรู้นักการเมืองด้วยฐานคิดแบบพวกกระจอกที่สุด ตั้งแต่มีมนุษย์มาแล้วจะคิดถูกทุกข้อ เหมือนกับการอธิบายข้ามขั้วว่า “เราไม่ได้ข้ามไปหาเขา แต่เขาข้ามมาหาเราเอง” จึงเป็นตรรกะเพี้ยนหมด
“วันนี้เมื่อการเมืองการตั้งรัฐบาลเริ่มขยับจนเห็นการข้ามขั้วแล้ว ย่อมสะท้อนว่าพรรคการเมืองไม่มีสำนึกของประชาชนเหลืออยู่เลย ดังนั้นหลังจากนี้จะเป็นเวลาของ ประชาชนต้องขยับ โดยร่วมหารือตกลงกันทุกฝ่าย เพื่อนำปัญหาชาติบ้านเมืองมาคิดหาทางออก จะด้วยรูปแบบใดก็ตามย่อมทำให้ประเทศได้เริ่มนับหนึ่ง เพื่อเดินหน้าสะสางปัญหาครั้งใหญ่” นายจตุพร กล่าว